เพิ่มประสิทธิภาพการทำ Link Building ให้ดีขึ้นด้วยการทำ Technical SEO

ในบทความนี้ เราจะมาดูวิธีการทำ Technical SEO ที่คุณสามารถทำกับเว็บไซต์ของคุณได้ตั้งแต่เริ่มต้นทำไปจนถึงหลังจากที่คุณทำ Link Building เสร็จแล้ว ซึ่งถ้าหากคุณสามารถทำได้ถูกต้อง จะส่งผลดีทั้งในระยะสั้นและระยะยาวกับเว็บไซต์ของคุณ

วางแผนกลยุทธ์เกี่ยวกับ User Retention

เมื่อคุณทำการสร้างลิงก์หรือ Link Building นั้น การเข้าชมเว็บส่วนใหญ่จะมาจากผู้ใช้งานใหม่ที่ไม่เคยรู้จักเว็บไซต์ของคุณมาก่อน ซึ่งจะไม่คุ้นชินกับเว็บไซต์ของคุณสักเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าหากเว็บไซต์ของคุณโหลดช้าหรือแสดงข้อมูลได้ไม่ดี กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้อาจจะตัดสินใจที่จะออกจากเว็บไซต์ไปได้ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำ Brand Awareness หรือ PR Campaign ในรูปแบบของ Content ที่มุ่งไปหากลุ่มเป้าหมายของคุณ คุณควรที่จะมีการทำ Technical SEO ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานชื่นชอบและสามารถเข้าใจการใช้งานของเว็บไซต์คุณได้เร็วยิ่งขึ้น

เพื่อให้เกิดการเข้าชมเว็บไซต์ที่มากที่สุด คุณควรมีการเตรียมเว็บไซต์ให้รองรับการเข้ามาจากหลายๆช่องทาง โดยการเรียงลำดับความสำคัญของ SEO นั้น จะเริ่มจากการแบ่งสิ่งที่ต้องทำออกมาเป็นข้อๆ เช่น  Social Share, การทำ SEO ให้กับทั้งเว็บไซต์, พร้อมกับการทำการตลาดช่องทางอื่นๆที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

โดยกลยุทธ์ SEO ที่คุณสามารถใช้เพื่อเพิ่มและปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญ Link Building ของคุณควรตอบโจทย์เป้าหมายเหล่านี้

  • เน้นเพิ่มการแชร์ผ่าน Social Media ต่างๆ โดยการทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการโหลดในมือถือ
  • การเพิ่มโอกาสการเข้าเว็บไซต์จากการทำ SEO ทั้งเว็บไซต์ ผ่านการทำ Content ประเภท E-A-T และ Internal Linking จากหน้า Home ไปยังหน้าต่างๆ
  • การทำ Tracking และการพยายามเชื่อมช่องทางการตลาดเข้าด้วยกัน รวมไปถึงการวางแผนระยะยาวในการเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์

นอกจากนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อรักษาจำนวนลูกค้าเก่าให้กลับมายังเว็บไซต์ของคุณอีกรอบ จะช่วยให้การทำ Link Building มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นอีกด้วย สามารถใช้ได้กับแคมเปญ Link Building ทุกประเภท และยังสามารถทำงานควบคู่ไปกับการวางแผนสำหรับ Backlink ได้อีกด้วย

ก่อนที่จะเริ่มทำ Link Building เพื่อหาลิงก์ใหม่ๆเข้ามาที่เว็บไซต์ คุณควรที่จะเริ่มจากการทำ Backlink Audit เพื่อตรวจสอบจำนวนลิงก์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงคุณภาพของลิงก์ที่คุณมีอยู่

การทำ Audit จะช่วยให้คุณมีข้อมูลที่สามารถนำไปเตรียมการทำ Content ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้มากยิ่งขึ้น และจำนวนลิงก์ที่คุณมีอยู่นั้นจะเป็นตัวเลขพื้นฐานที่สามารถนำไปปรับใช้กับแคมเปญต่อไปได้ นอกจากนี้การกระจายลิงก์ไปยังหน้าอื่นๆจะช่วยให้ทีมของคุณสามารถเตรียม Referrer, เตรียมหน้าเว็บเป้าหมาย, และการทำ Anchor text ตามบทความต่างๆ

การทำ Backlink Audit จะช่วยให้คุณทราบว่า

  • มีจำนวน External Link ที่ลิงก์เข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณมากเท่าไร
  • External Link ที่เข้ามานั้น มาจากหน้าไหนบ้าง
  • External Link ที่ได้มานั้น มีคุณภาพหรือไม่
  • หน้าไหนที่มี External Link บ้าง
  • Backlink ไหนที่เกิด Error หรือ 404 บ้าง
  • Backlink ไหนที่เกิด 301 Redirect บ้าง

ถ้าลิงก์ที่คุณได้มานั้น มีลิงก์คุณภาพต่ำปนมาจากแคมเปญ Link Building ที่คุณทำ คุณควรที่จะสร้าง Disavow link เพิ่มขึ้นมา และแจ้งกับทาง Google Search Console  นอกจากนี้คุณควรจะระวังลิงก์ที่เกิด 404 หรือ 301 จากลิงก์ที่คุณได้มากอีกด้วย

ทำไมถึงควรแก้ลิงก์ที่มีปัญหาในการส่งต่อ

หากคุณเจอลิงก์ที่เกิด 301 หรือ 404 ในลิงก์ที่คุณได้มาแล้วหล่ะก็ คุณควรที่จะลบหรือแก้ไขลิงก์เหล่านั้นทันที เพราะลิงก์ที่มีปัญหาเหล่านี้จะทำให้คะแนน Page Rank ของคุณลดลง ซึ่งหมายความว่าเมื่อแก้ไขปัญหาแล้ว เว็บไซต์ของคุณจะได้รับ Organic Traffic มากขึ้นนั่นเอง

โดยการเข้าไปแก้ไขลิงก์เหล่านี้ยังช่วยให้เวลาที่ใช้ในการเข้าเว็บไซต์ของคุณนั้นรวดเร็วขึ้น ทำให้ตัวเลขหลังบ้านของคุณดีขึ้นอีกด้วย อีกทั้งในส่วนของปัญหา Google Analytic ที่ไม่สามารถแยกช่องทางการเข้าเว็บไซต์ได้อย่างละเอียด เพราะบ่อยครั้ง GA มักจะให้คะแนนการเข้าเว็บไซต์ผ่านการ Redirect 301 เป็น Referral มากกว่า Direct นั่นเอง

คุณจะแก้ไขลิงก์เหล่านี้ได้อย่างไร

คุณควรอัพเดทลิงก์ที่มีทั้งหมดให้เป็นลิงก์หรือ URL ล่าสุดก่อน หลังจากนั้น

  • ทำการ 301 Redirect ให้กับลิงก์ที่เกิดปัญหา “Link Error” และกำลังจะเปลี่ยนสถานะเป็น 404 Pages โดยในระหว่างที่ทำ 301 นั้นควรพยายามที่จะเชื่อมให้ Content มีลักษณะที่เหมือนกันมากที่สุด
  • พยายามทำให้ 301 Redirect ไปที่ลิงก์สุดท้ายหรือ Final Destination มากที่สุด เพราะการทำ Redirect ต่อกันหลายชั้นจะทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ
  • ถ้าหากคุณสามารถควบคุมหน้าที่ลิงก์กันได้ เช่น ช่องทาง Social Media คุณควรทำการอัพเดทลิงก์ที่ทำ 301 Redirect ไว้ หรือทำลิงก์ที่เกิด 404 ให้เป็นลิงก์ที่ทำงานได้มากที่สุด หรือจะเป็นการอัพเดท Protocol SSL จาก HTTP เป็น HTTPS 

การปรับเปลี่ยนและอัพเดทลิงก์ให้เป็นลิงก์ล่าสุดจะทำให้ Bot เข้ามาค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ของเราได้ง่ายยิ่งขึ้น

การเพิ่มประสิทธิภาพของการแชร์ลิงก์ผ่าน Social media ควรจะเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การทำ Link Building ที่คุณได้สร้างขึ้นมา เพราะ Social Media นั้นสามารถเพิ่มจำนวนการเข้าเว็บไซต์ได้มากกว่า 25%  ซึ่งหมายความว่า Social Media นั้นกลายเป็นส่วนสำคัญสำหรับการโปรโมทแคมเปญต่างๆของคุณ โดยเฉพาะแคมเปญที่ทำขึ้นเพื่อเน้นผู้ใช้งานผ่านมือถือ โดย

  • ควรที่จะปรับเว็บไซต์ให้รวดเร็วสำหรับการใช้งานผ่านมือถือ
  • ทำ Open Graph เพื่อให้การแชร์ผ่าน Social Media แสดงผลได้ตามที่คุณต้องการ
  • การเพิ่มความปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่อเครือข่ายและลดความล่าช้า

การเพิ่มความปลอดภัยและลดความล่าช้าในการเชื่อมต่อ

ความปลอดภัยในการเชื่อมต่อนั้นคือรากฐานหลักของการทำ Technical SEO เพราะ HTTPS นั้นคือหนึ่งใน Ranking signal  ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดว่าการทำ SSL ให้กับเว็บไซต์นั้นถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะยังไม่เพียงพอ

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการใช้และการติดตั้งของ Server เพื่อเพิ่มความเร็วและคุณภาพของ Content ในเว็บไซต์

สิ่งนี้มีความสำคัญมากต่อ Social Media อย่าง Facebook ซึ่งมีมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุดใน Server ของทาง Facebook เองและ Domain อื่นๆที่ลิงก์กับ Facebook โดยความปลอดภัยที่ไม่ได้มาตรฐานนั้นจะทำให้การเชื่อมต่อช้าลงและส่งผลต่อความไว้วางใจของผู้ใช้งาน ดังนั้นคุณควรที่จะใช้ Server ที่มีคุณภาพเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม

ปรับ SSL เพื่อช่วยลดเวลาในการเชื่อมต่อ

SSL นั้นมีหลายประเภท ดังนั้นคุณควรเลือก SSL ที่มีการอัพเดทโปรโตคอลในเวอร์ชั่นล่าสุด

การทดสอบคุณภาพของ SSL

มีเครื่องมือมากมายที่คุณสามารถใช้เพื่อทดสอบการทำงานของ SSL โดยคุณสามารถลองใช้หลายๆตัวเพื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันและเพื่อที่จะได้ทำการทดสอบได้อย่างรอบด้าน

เริ่มต้นจากการตรวจสอบ SSL แบบเบื้องต้น

คุณสามารถเริ่มต้นจากเครื่องมือ SSL Checker จาก SSL Shopper เพื่อเป็นการทดสอบและตรวจหาปัญหาเบื้องต้น โดยดูว่า SSL ของคุณนั้นผ่านมาตรฐานสำหรับทุก Browser หรือไม่ คุณควรที่จะได้ติ๊กสีเขียวผ่านทุกอัน แต่ถ้าหากคุณเจอติ๊กสีแดง คุณอาจจะต้องตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อหาต้นตอของปัญหาต่อไป

โดยจากประสบการณ์ของทาง Moz การแก้ปัญหา SSL ที่เจอนั้นจะช่วยทำให้การเชื่อมต่อเร็วขึ้นกว่า 70%

การเช็คแบบละเอียด

เครื่องมือ SSL Server Test นั้นจะทำให้คุณได้ผลการตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับความปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งคุณจะได้เป็นเกรดคะแนนความปลอดภัยและการประเมินตัวบ่งชี้ด้านความปลอดภัยต่างๆของเว็บไซต์ของคุณ

เบื้องต้นคุณควรได้คะแนน “Modern” สำหรับ “Transport Layer Security (TLS) Protocols” โดยเฉพาะ TLS1.2 และ TLS1.3

TLS1.3 นั้นเริ่มมีการใช้ในปี 2018 และกลายเป็นที่นิยมในระบบ CDN ต่างๆ เพราะว่ามีความปลอดภัยสูงกว่า และช่วยให้การเชื่อมต่อเครือข่ายเข้าเว็บไซต์เร็วขึ้นกว่า 45% เลยทีเดียว

โดย Cloudflare, Facebook, และ Android ใช้ TLS1.3 ทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเว็บไซต์ของคุณมี TLS ที่อัพเดทเป็น Version 1.3 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้แบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ Cloudflare ยังถูกใช้งานกว่า 16% ของเว็บไซต์ทั่วโลก และกว่า 81% ได้ใช้ CDN ทั้งหมด ดังนั้นการอัพเกรด TLS จะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าเว็บไซต์ของคุณได้รวดเร็วขึ้นนั่นเอง

การเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์

จากการเปิดตัว Google Core Web Vital นั้นทาง Google ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับความเร็วของเว็บไซต์มากขึ้นโดยเฉพาะการดาวน์โหลดผ่านมือถือ โดยในการทำ Link Building นั้นคุณอาจจะเห็นอัตราการเข้าชมเว็บไซต์มีตัวเลขที่สูงขึ้นในช่วงแรก แต่ถ้าหาก UX ของคุณไม่ได้มาตรฐานตามที่ Google ต้องการ ก็จะทำให้เว็บไซต์ของคุณอาจจะโดนหักคะแนนด้าน UX และทำให้ตัวเลขการเข้าเว็บไซต์นั้นหายไปได้

การตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณผ่าน Google Analytic และ Google Search Console จะช่วยให้คุณสามารถหาปัญหาของเว็บไซต์คุณเจอได้เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น

Open Graph Meta Tags

การทำ Social Share นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการทำ Link Building ดังนั้นการอัพเดท Open Graph (OG) จะช่วยให้คุณสามารถปรับ Tag ให้มีการแสดงผลที่ดีขึ้นสำหรับ Social Media ได้

หาก Hero image ของคุณไม่แสดงผลเมื่อคุณแชร์ลิงก์ผ่าน Social Media คุณจะต้องทำการอัพเกรด OG Meta Tag ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่ระบบของเว็บไซต์นั้นไม่ได้มี Tag นี้เตรียมไว้

นอกจากนี้การเช็คผ่าน Post Validator เช่น Facebook, Linkedin, Twitter ก็ทำให้คุณสามารถเข้าไปดูตัวอย่างการแสดงผลเมื่อคุณแชร์ลิงก์ไปที่ Platform เหล่านี้ได้เช่นกัน

หากคุณต้องการเช็คทุกลิงก์ในเว็บไซต์คุณสามารถใช้ Custom Xpath ด้วย Screaming Frog ในการทำการ Crawl เพื่อตรวจสอบว่า Field นี้มีการตั้งค่าที่ถูกต้องหรือไม่

การเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์

การทำ Link Building ของคุณจะช่วยทำให้จำนวนคนเข้าเว็บไซต์เพิ่มขึ้นได้ ถ้าหากคุณวางแผนการทำสิ่งเหล่านี้ไว้ตั้งแต่แรก

On-Page SEO

On-Page SEO ของคุณควรมีการปรับให้มีคุณภาพอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะทำ Link Building ในระยะสั้น หรือการทำ Thought Leadership รวมไปถึงการโปรโมทสินค้าและบริการต่างๆ

เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่มีมากมายในยุคปัจจุบัน อาจจะทำให้ผู้ใช้งานอาจจะลืมข้อมูลที่มีอยู่ของเว็บไซต์คุณได้ ซึ่งบ่อยครั้งมักจะเกิดการค้นหาใหม่เพื่อเข้าถึงข้อมูลเดิมที่เคยอ่านผ่านตาไปแล้วอีกหนึ่งรอบ

การทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูลเป็นเป้าหมายของเว็บไซต์ ดังนั้นคุณควรที่จะ

  • มีการทำ Keyword ที่เน้นใน H1 และ H2
  • การใช้รูปและปรับให้ Alt text รวมไปถึงหัวข้อนั้นตรงกับ Keyword ที่ต้องการ
  • Metadata ควรที่จะทำเพื่อให้สนับสนุน Keyword

การทำ Internal Linking

การที่คุณได้ Backlink ที่ดีเข้ามาในหน้าหลัก เช่น หน้า Home คุณควรที่จะทำลิงก์เพื่อที่จะส่งลิงก์คุณภาพเหล่านี้ต่อไปยังหน้าเว็บอื่นๆของคุณด้วย

การสร้างลิงก์จากหน้า Target Page ของคุณ

คุณควรมีการวางแผน Internal link ในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้ลิงก์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันนั้นมีการลิงก์ถึงกัน โดยการทำแบบนี้จะส่งผลดีต่อ SEO มากที่สุด โครงสร้าง Internal link ของคุณควรประกอบไปด้วย

  • การปรับและลิงก์ด้วย Keyword เป้าหมาย
  • การอยู่ในหมวดหมู่ที่ใกล้เคียงกัน
  • มีคะแนน Authority สูงพร้อมกับ Bounce rate ที่ต่ำ
  • มี Response code เท่ากับ 200

การทำแบบนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานและ Google bot เข้ามาอ่านข้อมูลในเว็บไซต์แล้วสามารถเข้าใจได้ว่าเนื้อหาในเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับอะไร ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ลูกค้ากลับเข้ามาอ่านข้อมูลในเว็บไซต์ของคุณอีกหนึ่งรอบได้

การสร้างลิงก์ให้กับหน้า Target Page เพื่อให้มีอันดับบน Google ที่ดีขึ้น

Internal Link นั้นให้ประโยชน์ในหลายด้าน คุณควรที่จะสร้าง Internal Link ให้กับแคมเปญต่างๆ เช่น การเชื่อม Internal Link ในหน้า Home เข้ากับหน้า Promotion Page

นอกจากนี้คุณยังสามารถสร้างบทความที่เกี่ยวข้องกับหน้า Promotion page ของคุณโดยตรง พร้อมกับทำ Internal link ไปยังหน้า Promotion page ของคุณ โดยคุณสามารถอัพเดทบทความกับหน้าโปรโมชั่นเข้าไปใน Sitemap ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับใน Google ที่ดีขึ้นได้อีกด้วย

การปรับ E-A-T ให้กับ Content

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ผู้ใช้งานส่วนใหญ่มักจะลืมข้อมูลที่อ่านมาก่อนเนื่องจากมีข้อมูลใหม่ๆมากมายที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่ในขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะจำเนื้อหาไม่ได้ แต่อาจจะจำชื่อเว็บไซต์หรือชื่อคนเขียนได้ ดังนั้นคุณควรที่จะเพิ่มข้อมูลของทีมงานเข้าไปด้วย เพื่อจะช่วยเพิ่ม Expertise, Authority, Trust ให้กับ Brand และเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิด Social Share มากขึ้น

โดยคุณสามารถนำหลักการ E-A-T ไปใช้กับแคมเปญแบบ Event เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือได้อีกด้วย

การทำลิงก์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าเดิม

การทำ Link Building นั้นควรมีเป้าหมายในการทำเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ติดต่อในเว็บไซต์หรือเพิ่มปริมาณการซื้อขายในเว็บไซต์ให้มากขึ้น รวมไปถึงการเพิ่ม Market Share ในตลาดด้วย

การ Review และ Track ข้อมูล

หลังจากทำ Link Building ไปแล้ว คุณจะมีปริมาณคนเข้าเว็บไซต์ที่มากขึ้น และจะเพิ่มโอกาสให้คุณได้ลูกค้ามากขึ้นด้วย ดังนั้นการเก็บข้อมูลที่ดีจะช่วยให้คุณเห็นภาพ Conversion Funnel ได้มากขึ้น

ในระหว่างการทำแคมเปญ คุณควรมีเป้าหมายที่ชัดเจนและเข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณจะช่วยตอบโจทย์เป้าหมายที่คุณตั้งไว้ได้อย่างไร การเก็บข้อมูลที่ดีนั้นจะช่วยให้คุณเข้าใจว่า Content แบบไหนที่ลูกค้าชอบ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหามากกว่า 5000 คำ หรือเว็บไซต์ที่มีแต่รูปภาพก็ตาม

การสร้างหน้าเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์เหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อช่วยให้เข้ากับ KPIs ที่คุณวางไว้ รวมไปถึงการทำสรุปผลรายงาน และการดู ROI ของแคมเปญที่ได้ทำไปด้วย

การเชื่อมหลาย Channel เข้าด้วยกัน

เมื่อคุณมี KPIs หรือ Metric ที่ชัดเจนแล้ว คุณสามารถใช้ข้อมูลที่เก็บมาเพื่อวิเคราะห์สิ่งต่างๆเหล่านี้

  • Scroll depth เป็นข้อมูลที่จะคอยดูว่าผู้ใช้งานเว็บไซต์ได้เข้าไปดูเนื้อหาถึงส่วนไหนแล้วบ้าง ซึ่งมีประโยชน์ในการทำ Retargeting ต่อไป
  • Demographic ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานเว็บไซต์มากขึ้นว่าเป็นเพศอะไร หรือมีอายุอยู่ในช่วงไหนบ้าง โดยคุณสามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับคนกลุ่มนี้มากขึ้น
  • Email signup สำหรับการทำ Outreach event โดยคุณจะได้ Email กลับมาซึ่งจะช่วยให้คุณทำ Campaign custom audience และ Lookalike ได้มากขึ้น

สำหรับ Technical SEO นั้น คุณควรจะระมัดระวังในเรื่องข้อมูลไม่ให้รั่วไหล โดยการใช้ Third-Party Tracking เช่น Facebook Pixel หรือ Google Tag Manager นั้นล้วนเกี่ยวข้องกับ Javascript Third Party Management ทั้งสิ้น

การวางแผนสร้างลิงก์ระยะยาว

คุณควรมีแผนงานในเรื่อง Lifecycle ของลิงก์ที่คุณได้ทำไว้ โดยคุณควรเน้นที่จะทำ Link Building จากเว็บไซต์ที่มี Authority สูง ถ้าหากคุณทำแคมเปญจากลิงก์ที่มีวันหมดอายุนั้น คุณอาจจะได้ 301 redirect จากลิงก์ที่คุณได้ทำไป ซึ่งลิงก์เหล่านี้จะไม่ช่วยให้คุณมี PageRank ที่ดีขึ้นได้

ควรวางแผนทำลิงก์ที่มีระยะยาว และเป็น URL ที่มีคุณภาพ ซึ่งคุณสามารถใช้เทคนิคเหล่านี้ได้

  • ใช้ Evergreen URL สำหรับ Content ระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นหน้าเว็บสำหรับบริการหรือ Thought Leadership, การทำ Content ให้เหมือน White Paper หรือ Report รายงานที่มีข้อมูลคุณภาพนั้นจะช่วยให้ Content นั้นติดอันดับที่ดีได้ในระยะยาว และยังช่วยลดปัญหาเรื่องการทำ Redirect ไปได้อีกด้วย
  • การสร้างหน้าถาวรสำหรับแคมเปญต่อเนื่อง หน้าเว็บสำหรับแคมเปญระยะยาว เช่น Landing Page, Sponsored Event, รวมไปถึงแคมเปญเพิ่ม Brand Awareness ควรเป็นลิงก์ที่อยู่ในเว็บไซต์ของคุณตลอดไปเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
  • หลีกเลี่ยงการสร้างลิงก์ตรงเข้าไฟล์ PDF ควรเตรียมลิงก์ให้ผู้ใช้งานไปดาวน์โหลดได้จากหน้าเพจอื่น และสร้างลิงก์ลงในหน้าเพจนั้น ไม่ควรสร้างลิงก์เข้าไปที่ไฟล์ PDF โดยตรง
  • การเตรียมตัวสำหรับการทำ Redirect ในบางครั้งลิงก์บางประเภทอาจจะต้องถูก Redirect เนื่องจากหมดอายุหรือหมดเวลาของลิงก์นั้น ดังนั้นคุณควรเตรียมตัวในการทำ Redirect ให้กับลิงก์เหล่านี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ

บทสรุป

การทำ Technical SEO นั้นจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมี Backlink ที่ยังทำงานได้อยู่ในเว็บไซต์ ช่วยป้องกันลิงก์เสีย ช่วยในการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานผ่านมือถือ และทำให้การเชื่อมต่อดีขึ้นหากคุณได้ทำสิ่งเหล่านี้

  • สร้างการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและลดความล่าช้า (Delay) 
  • เพิ่มความเร็วในการโหลดสำหรับเข้าผ่านมือถือ
  • การทำ Open Graph สำหรับการแชร์ผ่าน Social Media
  • การทำ On-Page SEO
  • การทำ Internal Link
  • การทำ E-A-T
  • การเก็บข้อมูลที่ดี
  • การเชื่อมหลาย Channel เข้าด้วยกัน
  • การวางแผนทำลิงก์ในระยะยาว

สวัสดี เราชื่อ พีค มีความสนใจเรื่อง SEO มาตั้งแต่ตอนอายุ 20 สมัยเข้ามหาลัยใหม่ๆ เนื่องจากเราเรียนบริหารธุรกิจ จึงได้เรียนเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ และมองว่า SEO คือหนึ่งในศาสตร์และศิลป์ที่มีความอ่อนไหว น่าสนใจ และดูมีอะไรในตัวของมันเองดี คนที่ทำต้องรอคอยเป็น เหมือนฝึกให้เรารู้จักที่จะรอคอยได้ ก็เลยศึกษา ทดลอง มาโดยตลอด มันสนุกมากนะ ได้เห็นกราฟวิ่งขึ้นวิ่งลง เติบโตไปเรื่อยๆ เปรียบเสมือนกับชีวิตที่มีสีสัน มีจังหวะที่คอยสลับไปมานั่นเอง