10 เครื่องมือฟรีเพื่อค้นหา Keyword ที่ดีที่สุดในปี 2023

คุณต้องการหา Keyword ที่ดีเพื่อกำหนดเป้าหมาย แต่ไม่มีงบประมาณพอสำหรับใช้เครื่องมือที่เสียเงินใช่หรือไม่

Google Keyword Planner เคยเป็นเครื่องมือที่ดีในเรื่องนี้ โดยคุณสามารถป้อน Keyword ที่ต้องการ และดูคำแนะนำ Keyword มากมาย รวมถึงปริมาณการค้นหาได้อีกด้วย

แต่ว่า Google ได้จำกัดตัวเลขเหล่านี้ไว้เป็นแบบช่วงเท่านั้น

อีกหนึ่งวิธีคือ การใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs’ Keywords Explorer ที่แสดงปริมาณการค้นหาจริงที่เกิดขึ้น และตัวชี้วัด SEO อื่นๆมากมาย แต่ถ้าคุณเพิ่งจะเริ่มต้นทํามัน และไม่สามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อเครื่องมือสำหรับ SEO ได้ล่ะ

นี่คือ 10 เครื่องมือค้นหา Keyword ฟรีที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นทำ SEO ได้ โดยไม่เสียเงินสักบาท

Google Trends จะแสดงภาพความนิยมในการค้นหาที่เกี่ยวข้องของ Keyword ในช่วงเวลานั้น

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราดูคำว่า “Costumes” ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าความนิยมนั้นพุ่งขึ้นทุกเดือนตุลาคม

นี่เป็นเพราะเดือนตุลาคมเป็นช่วงวันฮาโลวีนนั่นเอง แล้วสิ่งนี้มีประโยชน์สำหรับการค้นหา Keyword อย่างไร?

สำหรับการเริ่มต้นนั้น สิ่งนี้จะสามารถช่วยคุณวางแผนการทำปฏิทินสำหรับเนื้อหาของคุณได้ สมมติว่าคุณขายชุดออนไลน์ การโพสต์หรือการเผยแพร่ซ้ำในเรื่อง “10 ชุดฮาโลวีนที่น่ากลัวที่สุดสำหรับ 20XX” ในเดือนกันยายนหรือตุลาคมนั้นก็ดูจะสมเหตุสมผล

ความสนใจในหัวข้อ “iPhone specs” จะพุ่งขึ้นสูงสุดทุกเดือนกันยายน เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone ใหม่

หากคุณทำบล็อกเกี่ยวกับเทคโนโลยี คุณควรอัปเดตและเผยแพร่บทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในทุกๆเดือนกันยายน

นอกเหนือจากการวางแผนลงเนื้อหาแล้ว Google Trends ยังสามารถช่วยหลีกเลี่ยงการกำหนดเป้าหมาย Keyword ที่ไม่ถูกต้องได้อีกด้วย

ลองดูสองสิ่งนี้ตัวอย่าง:

หากคุณสร้างเนื้อหาสำหรับหนึ่งใน Keyword เหล่านี้ได้ คุณจะเลือก Keyword ไหน?

คุณคงเลือกอันที่มีปริมาณการค้นหาสูงใช่ไหม?

อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ เนื่องจากตัวอย่างนี้เป็นปริมาณการค้นหาที่มีค่าเฉลี่ยในช่วงหลายเดือนหรือหลายปีที่ผ่านมา แต่หากเราดูข้อมูลใน Google Trends ช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานั้น เราจะเห็นได้ว่า การค้นหา “Apple watch series 5” มีมากกว่า การค้นหา “Apple watch series 3” แล้ว

ดังนั้น หากคุณเปิดร้านอีคอมเมิร์ซและต้องจัดลำดับความสำคัญของ Keyword  “Apple watch series 5” จะเป็น Keyword ที่คุณควรใช้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามปริมาณการค้นหา “Apple watch series 3” จะลดลงเองเมื่อเวลาผ่านไป

2. Keyword Generator

Keyword Generator สามารถหาไอเดียเกี่ยวกับ Keyword ได้มากถึง 150 ไอเดีย

ตัวอย่างเช่น หากเราค้นหา “Bitcoin” เราจะได้รับข้อมูลถึงหนึ่งร้อยรายการที่มี Keyword พร้อมกับปริมาณการค้นหารายเดือนโดยประมาณ

นอกจากนี้เรายังเห็นรายการประเภทคำถามมากถึง 50 รายการ

โดยเครื่องมือนี้แสดงคะแนนความยากของ Keyword  (Keyword Difficulty – KD) สำหรับ Keyword  10 คำแรกในแต่ละรายการ เป็นตัวเลขระหว่าง 0–100 ที่จะประเมินความยากในการจัดอันดับ ซึ่งโดยทั่วไป ยิ่งระดับความยากมากเท่าไร คุณก็ยิ่งต้องมี Backlink มากขึ้นเท่านั้น

SIDENOTE : ความยากของคีย์เวิร์ดไม่ได้คำนึงถึงสิ่งอื่นใดนอกจาก Backlink โดยสิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหา ความตั้งใจในการค้นหา และความมีอำนาจของเว็บไซต์เมื่อประเมินความยากในการจัดอันดับ

โปรดทราบว่าปริมาณการค้นหาและคะแนน KD นั้นจะสัมพันธ์กับประเทศที่เลือก ซึ่งจะมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นค่าเริ่มต้น แต่หากคุณต้องการดูของประเทศอื่น สามารถเลือกจากจากเมนูได้

คุณยังสามารถใช้ Keyword Generator เพื่อค้นหา Keyword ใน Bing, YouTube, และ Amazon เพียงแค่เปลี่ยนเครื่องมือค้นหาที่ด้านบนของหน้า

3. Keyword Sheeter

Keyword Sheeter จะดึงเอาคำแนะนำในการเติมข้อความอัตโนมัติหลายพันรายการจาก Google โดยสามารถเริ่มต้นการใช้งานโดยการ ป้อน Keyword เข้าไปแล้วคลิก “Sheet keywords”

นี่คือเครื่องมือที่ดีสำหรับคุณ หากคุณต้องการสร้างไอเดีย Keyword จำนวนมากอย่างรวดเร็ว เครื่องมือนี้สามารถดึงไอเดียได้ประมาณ 1,000 รายการต่อนาที และคุณสามารถดึงผลลัพธ์ได้ฟรีในคลิกเดียว ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของ Keyword Sheeter คือค่อนข้างพื้นฐานเกินไป

Keyword Sheeter จะไม่แสดงปริมาณการค้นหาหรือข้อมูล Trend ต่างๆ และไม่จัดกลุ่มเหมือนกับที่ Google Keyword Planner ทำ แต่ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่ง คือมี Positive and negative filters

ยกตัวอย่าง เช่น การเพิ่มคำว่า “How” ให้กับ Positive filters

ตรงนี้จะแสดงเฉพาะคำค้นหาที่มีคำว่า “How” ซึ่ง Keyword เหล่านี้จะสามาถสร้างบทความในบล็อกได้ดี

ในส่วนของ Negative filter จะทำสิ่งที่ตรงกันข้าม และยกเว้นคำค้นหาบางคำออก

สิ่งนี้มีประโยชน์ในการกำจัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Keyword ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดบล็อกเทคโนโลยีและค้นหาผลลัพธ์ของคำว่า “Apple” คุณอาจต้องการดูเฉพาะคำหลักที่เกี่ยวข้องกับ Apple ที่เป็นบริษัท ไม่ใช่ใน Apple ที่เป็นผลไม้

ดังนั้น คุณจึงสามารถยกเว้นคำหลัก เช่น Pie, Crumble, Fruit, และ Cider ได้นั่นเอง

4. Answer the Public

Answer the Public สามารถค้นหาคำถาม, คำบุพบท, การเปรียบเทียบ, การเรียงตามตัวอักษร, และการค้นหาที่เกี่ยวข้องได้ คุณอาจยังไม่เข้าใจ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเรามาอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นทีละตัวกันเลย

เริ่มโดยการป้อน Keyword ที่เราต้องการค้นหา โดยจะใช้คำว่า  “Protein powder”

สิ่งแรกที่คุณจะเห็นคือ คำถาม

ทั้งหมดนี้เป็นคำค้นหาที่ประกอบไปด้วย Who, What, Why, Where, How, Which, When, Are, และ Is

ตัวอย่าง:

  • What protein powder tastes best?
  • How protein powder is made.
  • Are protein powders fattening?
  • When does protein powder expire?

คุณจะเห็นการแสดงที่เป็นค่าเริ่มต้น แต่คุณสามารถสลับกลับไปยังรายการที่คุณต้องการได้

ต่อไป เรามีคำตัวอย่างเช่น For, Can, Is, Near, Without, With และ To

นี่คือคำค้นหาที่ตรงกับรูปแบบ [seed] [preposition] [______] 

ตัวอย่าง:

  • Protein powder without carbs
  • Protein powder for weight gain
  • Protein powder is it safe

และมีการเปรียบเทียบ—เช่น Versus, VS, And, Like และ Or

รูปแบบคือ [seed] [comparison] [______]

ตัวอย่าง:

  • protein powder versus meat
  • protein powder or chicken breast
  • protein powder like quest

และท้ายสุดเรายังมีการเรียงตามตัวอักษร และการทำให้เกี่ยวข้องกัน

การเรียงตามตัวอักษร คือคำแนะนำในการเติมข้อความอัตโนมัติของ Google

และสุดท้ายการทำให้เกี่ยวข้องกันคืออะไร?

จากประสบการณ์ของผู้เขียนของ Ahrefs นั้น จำนวนข้อเสนอแนะในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องนั้นมีประมาณ 20 รายการ แต่เขาไม่ทราบว่า Keyword เหล่านี้มาได้อย่างไร แต่มันก็สามารถส่งข้อมูลที่มีประโยชน์มาให้ถึงจะเพียงเล็กน้อยในบางครั้งก็ตาม

แล้ว Answer the Public ได้ข้อมูลมาจากไหนล่ะ?

เท่าที่ทราบในตอนนี้ อาจจะมาจาก Google Keyword Planner และ Google autosuggest

SIDENOTE : ข้อมูลทั้งหมดสามารถส่งออกเป็นไฟล์ CSV ได้ โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนหรือ Log in เข้าใช้งาน 

5. Keyword Surfer

Keyword Surfer เป็นส่วนขยายของ Chrome ที่แสดงปริมาณโดยประมาณของการค้นหาจากทั่วโลกและแบบรายเดือน สำหรับทุกข้อความค้นหาที่พิมพ์ลงใน Google

SIDENOTE : Keyword Surfer ทำงานในลักษณะเดียวกับเครื่องมือที่ชื่อว่าว่า Keywords Everywhere เครื่องมือนี้เคยเป็นเครื่องมือฟรีแต่เพิ่งเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นชำระเงินเพื่อเข้าใช้งาน แต่นักพัฒนาของ Keyword Surfer ได้สัญญาว่าจะให้ใช้เครื่องมือนี้ฟรีตลอดไป

ในตอนนี้ Keyword Surfer สามารถแสดงค่าประมาณปริมาณการค้นหาในพื้นที่สำหรับ 19 ประเทศ ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, บราซิล, ฝรั่งเศส, และเยอรมนี

นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกในการเปิดหรือปิดปริมาณการค้นหาทั่วโลกอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ปริมาณการค้นหาเหล่านี้ไม่ใช่ปริมาณการค้นหาทั่วโลกที่แท้จริง เป็นแค่จำนวนรวมของการค้นหาจาก 19 ประเทศที่อยู่ในฐานข้อมูลในปัจจุบัน 

นอกจากนี้ส่วนขยายยังได้เพิ่มปริมาณการค้นหาลงในผลลัพธ์โดยประมาณของการเติมข้อความอัตโนมัติอีกด้วย

และยังสามารถแสดง Keyword ที่คล้ายกัน 10 คำในผลของการค้นหาได้อีกด้วย

ข้อเสียอย่างเดียวของ Keyword surfer คือจะไม่ได้ปริมาณการค้นหาจำนวนมาก เพราะการค้นหาจำนวนมากไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเครื่องมือนี้ แต่จะมีประโยชน์มากกว่าสำหรับการประเมิน Keyword บนเว็บไซต์

6. Keyworddit

Keyworddit เป็นเครื่องมือพิเศษที่ดึง Keyword จาก Reddit โดยป้อน Subreddit แล้วมันจะขุดชื่อและความคิดเห็นของ Thread เพื่อค้นหา Keyword มากถึง 500 คำ 

Keyworddit เป็นเครื่องมือเริ่มต้นที่ดีหากคุณไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเฉพาะทางหรือรู้เพียงเล็กน้อย

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการเริ่มต้นบล็อกเกี่ยวกับการอดอาหารแบบ Paleo แต่คุณไม่มีความรู้เกี่ยวกับหัวข้อนี้เลย ลองดูไอเดียจาก /r/paleo

สิ่งนี้จะบอกคุณว่า ผู้อดอาหารแบบ Paleo สนใจเกี่ยวกับเนื้อหาประเภทใด เช่น

  • Low carb meals
  • Slow cooker recipes
  • Grass-fed produce
  • อื่นๆ

นอกจากนี้ยังบอกได้อีกว่าพวกเขาใช้ภาษาใดในการอธิบายเรื่องดังกล่าว อีกทั้งเครื่องมือยังสามารถดึงปริมาณการค้นหาแบบรายเดือนของ Keyword แต่ละคำโดยประมาณจากในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะช่วยให้คุณทราบเกี่ยวกับความนิยมของแต่ละหัวข้อนั้นๆ

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Keyword ให้กดลิ้งก์ “Context” เพื่อดึง Thread จาก Google ซึ่งเป็นที่มาของ Keyword

7. Google Search Console

Google Search Console ช่วยให้คุณติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์คุณในการค้นหาทั่วไปแบบ Organic search ซึ่งหมายความว่าจะมีการแสดงข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับ Keyword ที่คุณจัดลำดับไว้แล้ว

ตัวอย่างเช่น ดูตรง “Search results” จากบัญชีนี้ มันจะแสดง Keyword ที่ส่ง Traffic การเข้าชมบล็อก Ahrefs มากที่สุดในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา

เราจะลองสลับคอลัมน์ “Average position” และ “Average CTR” คุณจะเห็นว่า ข้อมูลเหล่านี้แสดงอันดับเฉลี่ยของ Keyword และอัตราการคลิกของแต่ละคำ

จากรายงานนี้คุณสามารถรับข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์มากมาย

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณได้รับการเข้าชมจำนวนมากจาก Keyword แม้คำนั้นจะอยู่ในอันดับที่ 3–10 คุณอาจจะต้องเน้นการเพิ่มอันดับมากกว่าการกำหนดเป้าหมาย Keyword ใหม่

หาก CTR ของคุณต่ำแม้จะอยู่ในอันดับสูง หน้าเว็บไซต์ของคุณก็อาจไม่ดึงดูดใจในผลการค้นหา แต่คุณสามารถแก้ไขได้โดยการปรับปรุง Title tag หรือ Meta description แต่ถ้าต้องการค้นหา Keyword ใหม่ล่ะ

เริ่มจากการเรียงลำดับรายงานตาม CTR จากต่ำไปสูง ซึ่งจะทำให้เห็น Keyword ที่คุณจัดลำดับแต่ไม่ได้กำหนดเป้าหมายของมัน หากมีการแสดงผลจำนวนมากและมีอัตราการคลิกต่ำ อาจเป็นการคุ้มค่าที่จะกำหนดเป้าหมาย Keyword นั้นบนหน้าเว็บใหม่

ตัวอย่างเช่น เราได้อยู่ในอันดับที่ 8 ของ “Most searched person on Google”

อันดับ Keyword นี้ได้มาจาก Top 100 Google Searches

นี่เป็นเพียงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับ Keyword นี้ ซึ่ง Ahrefs อาจจะได้อันดับสูงกว่าด้วยบล็อกโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับ Most searched person on Google

8. Questiondb

Questiondb สามารถค้นหาคำถามที่ผู้คนถามเกี่ยวกับหัวข้อเฉพาะนั้นๆ โดยดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล 48 ล้านคำถามจาก Reddit

SIDENOTE : ในอนาคต Questiondb มีแผนจะขยายแหล่งข้อมูลให้กว้างขึ้น

คำถามจะจัดเรียงตามความนิยม แต่คุณก็สามารถจัดเรียงตามหัวข้อได้เช่นกัน สิ่งนี้มีประโยชน์มากเพราะยังสามารถรวมกลุ่มคำถามไว้ด้วยกันได้อีกด้วย

ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการค้นหาคำว่า “Protein powder” โดยที่จัดเรียงตามหัวข้อ คำถามทั้งหมดที่เกี่ยวกับ Vegan protein powder ก็จะถูกจัดกลุ่มไว้ด้วยกัน

เช่นเดียวกันกับ Keto protein powders โดยสิ่งนี้จะมีประโยชน์เมื่อเขียนโพสต์บนบล็อก เนื่องจากจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าควรตอบคำถามใดบ้าง

เมื่อพูดถึงคำตอบ หากคุณทำเครื่องหมายที่ช่อง “Show source link” ลิ้งก์ที่คลิกขึ้นมาจะปรากฏขึ้นถัดจากคำถามแต่ละข้อ สิ่งนี้จะนำคุณไปสู่ Thread นั้นเอง

หากคุณเรียกดูความคิดเห็น มันก็จะแสดงขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการค้นหาข้อมูล และคำถามทั้งหมดยังสามารถส่งออกเป็น CSV ได้ด้วยเพียงแค่การกดปุ่มเดียว

9. Bulk Keyword Generator

Bulk Keyword Generator เป็นเครื่องมือค้นหา Keyword สำหรับ Local SEO มันสามารถสร้าง Keyword ตามประเภทอุตสาหกรรมได้

ในขั้นตอนที่ 1 ให้เลือกประเภทธุรกิจจากเมนู

คุณจะเห็นรายการ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่คุณนำเสนอ

ตัวอย่างเช่น “Plumber” เป็นประเภทธุรกิจ จะเห็นว่ามีคำถามต่างๆมากมาย เช่น Hot water installation, Gas installation, Drain cleaning, และ Drain relining เป็นต้น

ในตอนนี้ หลายๆธุรกิจที่ให้บริการเหล่านี้จะมีข้อมูลบนเว็บไซต์ของพวกเขา แต่หลายคนก็ล้มเหลวในการสร้างหรือเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับข้อมูลเหล่านี้บนเว็บไซต์ของตัวเอง

นี่เป็นตัวอย่างเพจของบริษัทประปาแห่งหนึ่ง

จะเห็นว่าพวกเขาเสนอบริการ Drain relining แต่พวกเขาไม่มีหน้าเพจที่เกี่ยวกับบริการนี้ เป็นผลให้บริษัทอื่นๆที่มีอยู่เหนือกว่าพวกเขา

ในขั้นตอนที่ 2 เครื่องมือจะผนวกบริการที่เลือกไว้กับสถานที่ต่างๆ

สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์มากนัก เพราะไม่ได้สะท้อนวิธีที่ผู้คนใช้ค้นหาจริง

ตัวอย่างเช่น ชาวลอนดอนส่วนใหญ่จะไม่ค้นหาว่า “Drain relining services in London” แต่พวกเขาจะค้นหา “Drain relining” หรือ “Drain relining services” แทน Google จะให้บริการผลลัพธ์ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ซึ่งแบบหลังจะทำได้เร็วกว่า

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีคำเหล่านี้เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในเครื่องมืออย่าง Ahrefs ‘Keywords Explorer

นี่เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ดีกว่า :

  1. คัดลอก Keyword ประเภทบริการจำนวนหนึ่ง จากเครื่องมือที่ใช้กับธุรกิจของคุณ
  2. วางรายการลงใน Google Keyword Planner
  3. ตั้งค่าตำแหน่งให้เป็นเมืองหรือพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างเช่น ให้พิมพ์ “Drain relining” ลงใน Keyword Planner และตั้งค่าสถานที่เป็น Nottingham ส่งผลให้มีการค้นหารายเดือนตั้งแต่ 10-100 ครั้ง

10. Google

Google อาจเป็นเครื่องมือค้นหา Keyword ที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ Google สามารถเติมข้อความอัตโนมัติสำหรับสร้างจำนวนไอเดีย Keyword แบบไม่มีที่สิ้นสุดได้ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เมื่อพูดถึงการใช้ Google สำหรับการค้นหา Keyword

ในการเริ่มต้น ให้สังเกตช่อง “People also ask” ที่แสดงขึ้นในการค้นหาบางรายการ

นี่เป็นลิสต์คำถามที่ Google คาดว่าผู้ค้นหากำลังค้นหาคำถามแบบนี้ และเคล็ดลับง่ายๆที่คนส่วนมากใช้กันคือ:

ให้คลิกที่คำถามเหล่านี้ แล้ว Google ก็จะแสดงเพิ่มเติม

ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ และคุณสามารถสร้างรายการคำถามที่ผู้คนถามได้แบบไม่สิ้นสุด แต่การใช้ Google เป็นเครื่องมือค้นหา Keyword ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ สมมติว่ามี Keyword ที่คุณต้องการจัดอันดับ มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องเมื่อพูดถึง SEO แต่มีหนึ่งอย่างที่สำคัญแน่นอนคือ หากคุณต้องการมีอันดับที่ดี เนื้อหา Content ของคุณควรจะสอดคล้องกับจุดประสงค์ในการค้นหา

ตัวอย่างเช่น อย่าพยายามจัดอันดับเพจเกี่ยวกับโรงยิมโดยใช้ Keyword ว่า “How to lose weight?”

ผู้ที่ทำการค้นหาสิ่งนี้จะไม่ได้อยู่ในโหมดที่ต้องการซื้อขาย แต่พวกเขากำลังอยู่ในโหมดที่ต้องการเรียนรู้มากกว่า Google เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดเมื่อพูดถึงการทำความเข้าใจเจตนาในการค้นหา เพียงแค่ดูผลการค้นหาและการมีอยู่ของ SERP

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเรามีบริการ Email marketing tool และต้องการติดอันดับสำหรับ “Email marketing”

เมื่อดูผลการค้นหาสำหรับข้อความนั้น เราจะเห็นสองสิ่งที่น่าสนใจต่อไปนี้

อันดับแรก มีตัวอย่างข้อมูลแนะนำ

นี่บ่งบอกถึงความตั้งใจในการให้ข้อมูล ผู้ค้นหาซึ่งอยู่ในโหมดที่ต้องการเรียนรู้ และต้องการดูโพสต์บล็อก พร้อมกับคำแนะนำ ไม่ใช่หน้าขายผลิตภัณฑ์

อันดับสอง มีคู่มือค่อนข้างน้อยสำหรับคนที่พึ่งเริ่มต้น

โดยสิ่งนี้บอกกับเราว่า ผู้ค้นหาส่วนใหญ่เป็นมือใหม่ในด้าน Email marketing ที่ต้องการเรียนรู้พื้นฐานให้ครบถ้วน และนั่นคือสิ่งที่เราควรสร้าง หากเราต้องการเพิ่มอันดับสำหรับ Keyword เหล่านี้

หากเราค้นหาสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น “Dress” เราก็จะเห็นอะไรที่ตรงกันข้าม

ผลลัพธ์ทั้งหมดเป็นหน้าผลิตภัณฑ์หรือหมวดหมู่อีคอมเมิร์ซ และ Google ยังแสดงโฆษณาสำหรับช็อปปิ้งอีกด้วย

สิ่งนี้บอกเราว่าผู้ค้นหาอยู่ในโหมดที่ต้องการซื้อขาย อย่าเพียงแค่มอง Google เป็นเครื่องมือค้นหา Keyword  เพราะการค้นหา Keyword นั้นเป็นมากกว่าแค่การค้นหาธรรมดา คุณต้องเข้าใจด้วยว่าใครเป็นคนค้นหา และจริงๆแล้วพวกเขาต้องการค้นหาอะไร

วิธีเปรียบเทียบเครื่องมือค้นหา Keyword แบบฟรีและแบบเสียเงิน

เป็นเรื่องที่ง่ายมากในการเปรียบเทียบ เพราะเครื่องมือที่ใช้ได้ฟรีจะมีข้อจำกัดอยู่เมื่อเทียบกับเครื่องมือแบบเสียเงิน แต่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องมือแบบฟรีจะไม่ดี แต่จำนวนไอเดียของ Keyword และข้อมูลที่พวกเขาให้คุณเข้าถึงนั้นมักจะไม่ค่อยดีนักเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือแบบเสียเงิน ด้วยเหตุนี้ เครื่องมือแบบเสียเงินจะช่วยให้คุณได้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพสูงในการค้นหามากกว่า

เพื่อให้เข้าใจง่าย นี่คือตัวอย่างถ้าเราพิมพ์คำว่า “Protein powder” ลงใน Ahrefs’ Keywords Explorer

จะเห็นว่ามี “Phrase match” มากกว่า 123,000 คำ จากฐานข้อมูลที่มี 9.9 พันล้านคำ ซึ่งจะไม่มีเครื่องมือแบบฟรีที่สามารถทำงานบนฐานข้อมูลขนาดใหญ่เท่านี้ และมันยังแสดงข้อมูลมากมาย รวมถึง

  • ปริมาณการค้นหารายเดือนโดยประมาณ
  • ความยากของ Keyword  (Key Difficulty – KD)
  • Clicks
  • CPC

ซึ่งทุกอย่างสามารถค้นหา และกรองได้ รวมไปถึงสามารถส่งคืนได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที

SIDENOTE : มีการเพิ่ม Keyword ใหม่ลงในฐานข้อมูลและอัปเดตปริมาณการค้นหาทุกเดือน

เครื่องมือแบบฟรีแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำแบบนี้ได้ นอกจากนี้ คุณควรวิเคราะห์หน้าในการจัดอันดับ 10 อันดับแรก เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับความสามารถในการแข่งขันของ Keyword นั้น

โดยคุณสามารถทำได้จากการใช้ Google ได้ แต่ใน Keywords Explorer คุณสามารถดูข้อมูล Backlink และสถิติการเข้าชมสำหรับผลลัพธ์ 10 อันดับแรกในแต่ละรายการได้

เพียงเลื่อนลงไปตรง SERP Overview

FYI: เท่าที่รู้ในตอนนี้ ไม่มีเครื่องมือทั้งแบบฟรี และแบบเสียเงินใดเลย ที่สามารถทำได้แบบ Ahrefs’ Keywords Explorer

สรุป

อย่าพึ่งเข้าใจผิดว่าต้องใช้แต่เครื่องมือแบบเสียเงินเท่านั้นในการได้ Keyword ดีๆ คุณเองก็สามารถใช้เครื่องมือแบบฟรีได้ด้วยเหมือนกัน แต่การทำเช่นนี้อาจใช้เวลานาน ซึ่งเวลาก็คือเงิน

ความจริงก็คือ เวลาที่ใช้กับการค้นหาการเติมข้อความอัตโนมัติของ Google นั้น ค่อนข้างเสียเวลา เช่นเดียวกับการรวมข้อมูลหลายรายการใน Spreadsheets โดยที่ใช้เครื่องมือแบบฟรี คุณควรตั้งเป้าหมายในสิ่งที่สำคัญกว่า เช่น การสร้างเนื้อหา หรือการสร้างลิ้งก์ นอกจากนี้ เครื่องมือ Keyword แบบเสียเงิน เช่น Ahrefs’ Keywords Explorer มักจะทำงานบนข้อมูลที่มีจำนวนมหาศาล นั่นทำให้เครื่องมือมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการค้นหา Keyword ที่มีการแข่งขันต่ำ

สุดท้ายนี้ เครื่องมือแบบฟรีนั้นดีสําหรับการเริ่มต้น แต่เมื่อเว็บไซต์คุณเติบโตขึ้น คุณจะต้องใช้เครื่องมือที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้ทันต่อการแข่งขันกับผู้อื่น

สวัสดี เราชื่อ พีค มีความสนใจเรื่อง SEO มาตั้งแต่ตอนอายุ 20 สมัยเข้ามหาลัยใหม่ๆ เนื่องจากเราเรียนบริหารธุรกิจ จึงได้เรียนเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ และมองว่า SEO คือหนึ่งในศาสตร์และศิลป์ที่มีความอ่อนไหว น่าสนใจ และดูมีอะไรในตัวของมันเองดี คนที่ทำต้องรอคอยเป็น เหมือนฝึกให้เรารู้จักที่จะรอคอยได้ ก็เลยศึกษา ทดลอง มาโดยตลอด มันสนุกมากนะ ได้เห็นกราฟวิ่งขึ้นวิ่งลง เติบโตไปเรื่อยๆ เปรียบเสมือนกับชีวิตที่มีสีสัน มีจังหวะที่คอยสลับไปมานั่นเอง