5 เครื่องมือฟรีที่คุณสามารถนำมาเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์ได้

ปัจจุบันมีเครื่องมือสำหรับการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ ซึ่งจะต้องจ่ายเงินเพื่อใช้งานอย่างเช่น MozPrime แต่ถ้าหากคุณเพิ่งจะเริ่มต้นทำ SEO และอาจไม่มีงบเยอะในช่วงเริ่มต้น คุณสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีใน Internet ไปก่อนได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในบทความนี้เราจะมาดูเครื่องมือที่คุณสามารถนำมาใช้ได้จากทาง Google โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

1. Google Trends

Google Trends ใช้สำหรับการเช็ค Trend ของการค้นหา Keyword ต่างๆใน Search Engine โดยข้อมูลที่คุณได้มานั้น จะมีประโยชน์ในการทำ Keyword Research

การหา Keyword ใหม่

เมื่อคุณไปที่ Google Trends จะเห็นแถบค้นหาที่คุณสามารถใส่ทั้ง Keyword แบบกว้างๆ หรือเฉพาะเจาะจง โดยเมื่อใส่ Keyword ลงไปแล้ว คุณจะเห็นแผนภูมิแนวโน้มความสนใจของคีย์เวิร์ดเหล่านั้นสำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมา นอกเหนือไปจากข้อมูลเหล่านี้ ยังมีสิ่งที่คุณสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อีก นั่นก็คือ หัวข้อที่เกี่ยวข้อง หรือคีย์เวิร์ด ที่คล้ายๆกัน

เครื่องมือ Google Trends

โดยจากรูป หัวข้อที่อยู่ในกล่องเหล่านี้จะถูกเขียนไว้ว่า “เพิ่มขึ้น (Rising)” ซึ่งหมายความว่า หัวข้อและคำถามเหล่านี้กำลังได้ความสนใจมากขึ้น ซึ่งคุณสามารถใช้ประโยชน์เหล่านี้ในการทำ Content สำหรับเว็บไซต์ได้

การทำ Keyword Research แบบขั้นสูง

คุณสามารถใช้ Google Trends ในการหา Keyword แบบขั้นสูงได้ โดยคุณสามารถระบุบริเวณพื้นที่ ระยะเวลา หมวดหมู่ของเนื้อหา และ Search Engine แต่ละประเภท การระบุพื้นที่จะช่วยให้คุณเห็นข้อมูลของคีย์เวิร์ดในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับ Local SEO อย่างมาก

โดยการระบุหมวดหมู่ลงไปใน Google Trend จะทำให้คุณสามารถเห็นข้อมูลที่ละเอียดมากขึ้น และอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับที่คุณกำลังสนใจอยู่ และการหาโดยระบุ Search engine ที่ต้องการนั้น จะช่วยให้เห็นข้อมูลของแต่ละ Platform มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น YouTube Search, Image Search, Shopping Search รวมไปถึง News Search 

2. ข้อมูลการเติบโตของหมวดหมู่สินค้า

แม้ว่าอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่า สิ่งที่ผู้คนสนใจที่จะซื้อนั้นจะเป็นสินค้าอะไร แต่หากคุณต้องการที่จะหาข้อมูลที่จะช่วยให้คุณสามารถนำหน้าคู่แข่งได้ คุณสามารถหาข้อมูลได้จาก Rising Retail Categories นี่คือเครื่องมือที่ Google ได้ทำการสะสมข้อมูลเกี่ยวกับ E-Commerce เท่านั้น โดยคุณสามารถเข้าไปดูได้ว่า ปัจจุบันมีสินค้าหรือหมวดหมู่สินค้าประเภทไหนที่กำลังได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งสำหรับการทำ SEO ใน E-Commerce คุณจะได้ประโยชน์จะข้อมูลเหล่านี้แน่นอน

และสำหรับ E-Commerce ที่มีการขายทั่วโลก ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณเห็นความสนใจของแต่ละประเทศได้อีกด้วย

3. Visual Stories

Visual Stories คือการสรุปข้อมูลจากทาง Google ซึ่งอยู่ในรูปแบบที่อ่านง่าย คล้ายกับนิทานหรือเรื่องสั้น และมีข้อมูลที่มีประโยชน์กับนักการตลาดทุกคน

เรื่องสั้นเหล่านี้จะเป็นข้อมูลจากวันหยุดตามเทศกาลต่างๆ ไปจนถึง Case study ของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม นอกจากนี้ทาง Google ได้เตรียมข้อมูลไว้ในรูปแบบ Slide ที่คุณสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ (Interactive slide) รวมไปถึงการสรุป Insight ดีๆให้อีกด้วย

ยกตัวอย่างเช่น Visual Stories ของอุตสาหากรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นการสรุปข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของ อัตราการซื้อรถที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19

Visual Stories

นอกจากนี้ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้มาจากการค้นหาเท่านั้น แต่เป็นการทำ Case Study จากทาง Google เองด้วย ถือว่าเป็นข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ ที่เน้นให้คนสามารถย่อยข้อมูลและเข้าใจได้อย่างง่ายดาย

โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการปรับเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานมากขึ้น และสามารถช่วยทำให้ SEO ของเว็บไซต์ดีขึ้นได้อีกด้วย

4. Grow My Store

Grow My Store เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ขายสินค้าทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่ง Grow My Store จะทำการทดสอบเว็บไซต์โดยการใช้ Google Identifiers ที่มาจากร้านค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน

Google Identifiers จะแบ่งออกเป็น 5 หมวดหมู่ คือ ข้อมูลผลิตภัณฑ์, รายละเอียดร้านค้า, การทำ Personalization, การบริการลูกค้า, และความปลอดภัย โดยเครื่องมือนี้จะช่วยให้คำแนะนำกับทุกเว็บไซต์สำหรับสิ่งที่ควรมีหากต้องการทำเว็บไซต์ E-Commerce ให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นคำแนะนำที่มาจาก Google ทั้งหมด และคำแนะนำบางส่วนจะประกอบไปด้วยบทวิจารณ์ผลิตภัณฑ์, โปรไฟล์สำหรับผู้ซื้อ, ช่องทาง Live Chat, และ HTTPS

ในการใช้ Grow My Store คุณจะต้องตอบคำถามสามข้อ:

  • โดเมน (Domain) ของคุณคืออะไร
  • คุณมีธุรกิจประเภทใด
  • ธุรกิจของคุณอยู่ในอุตสาหกรรมประเภทใด

เมื่อคุณตอบคำถามเรียบร้อยแล้ว คุณจะเห็นหน้ารายงานสรุปพร้อมคะแนนโดยรวมและข้อมูลที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมของคุณ นอกจากนี้ Grow My Store ยังมีข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมของคุณอีกด้วย  โดยคุณสามารถเลือก “Reach More Customers” และเลื่อนลงมาอีกหน่อยจะเจอหัวข้อ “Understanding Industry Trends” ซึ่งข้อมูลตรงส่วนนี้จะประกอบไปด้วย การค้นหาสูงสุดของ Industry นั้นๆ รวมไปถึงเดือนที่มียอดขายดีที่สุด

5. Test My Site

เครื่องมือที่ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งอย่างที่ใช้ในการวัดคุณภาพเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสมกับ Google มากที่สุดคือ Test My Site โดย Test My Site จะใช้เพื่อทดสอบคุณสมบัติ 3 หมวดหมู่บนเว็บไซต์ของคุณ ได้แก่

  • ความเร็ว
  • การทำ Personalization
  • ประสบการณ์การใช้งาน

Test My Site สามารถใช้งานได้กับเว็บไซต์ทุกประเภท ไม่จะเป็นต้องเป็น E-Commerce เพียงอย่างเดียว

โดยรายงานแรกที่คุณจะได้รับจากการทดสอบเว็บไซต์ คือประสบการณ์การใช้เว็บไซต์ของคุณบนมือถือ จากการดูความเร็วในการโหลดและการแสดงผล ซึ่งในรายงานจะมีการแนะนำจุดที่ต้องแก้ไขเพื่อให้ได้คะแนนเพิ่มขึ้นอีกด้วย

หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม คุณยังสามารถลงทะเบียนเพื่อรับรายงานฉบับเต็มได้ ซึ่งรายงานฉบับสมบูรณ์จะส่งถึงคุณทาง Email โดยมีการแจกแจงคำแนะนำและคำอธิบายสำหรับทั้งนักการตลาดและนักพัฒนา  สามารถดูตัวอย่างรายงานได้ตามรูปด้านล่าง

สรุป

แม้ว่า Google อาจจะไม่ได้บอกชัดเจนว่าสิ่งที่เว็บไซต์ทุกเว็บไซต์ควรมีคืออะไร แม้ว่าข้อมูลส่วนใหญ่อาจจะหาได้จากเครื่องมือที่ต้องเสียเงิน แต่ Google ก็ยังสร้างแหล่งข้อมูลที่ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์กับทั้งเว็บไซต์และ SEO ของคุณโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้สามารถนำไปใช้งานและช่วยปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อ SEO ได้เช่นเดียวกัน

สวัสดี เราชื่อ พีค มีความสนใจเรื่อง SEO มาตั้งแต่ตอนอายุ 20 สมัยเข้ามหาลัยใหม่ๆ เนื่องจากเราเรียนบริหารธุรกิจ จึงได้เรียนเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ และมองว่า SEO คือหนึ่งในศาสตร์และศิลป์ที่มีความอ่อนไหว น่าสนใจ และดูมีอะไรในตัวของมันเองดี คนที่ทำต้องรอคอยเป็น เหมือนฝึกให้เรารู้จักที่จะรอคอยได้ ก็เลยศึกษา ทดลอง มาโดยตลอด มันสนุกมากนะ ได้เห็นกราฟวิ่งขึ้นวิ่งลง เติบโตไปเรื่อยๆ เปรียบเสมือนกับชีวิตที่มีสีสัน มีจังหวะที่คอยสลับไปมานั่นเอง