เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพ Conversion Rate สำหรับมือใหม่

คู่มือฉบับนี้เป็นคำเเนะนำเทคนิคสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพของ Conversion Rate (CRO) ซึ่งคุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อเทคนิคต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • วิธีเรียกใช้การทดสอบ A/B (How to run A/B test)
  • วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพหน้า Landing Page
  • เทคนิคทำอย่างไรให้สามารถเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เข้ามาชมครั้งแรกให้เป็นลูกค้าได้
  • เเนะแนวข้อปฏิบัติที่ดีที่สุด สำหรับการทำ เเละปรับประสิทธิภาพของ Conversion Rate

โดยเทคนิคทั้งหมดนี้ สามารถปรับ Conversion Rate ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ กระตุ้นเพิ่มยอดขายภายในเว็บไซต์ของคุณให้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นหากใครสนใจคำเเนะนำเเละเทคนิคดี ๆ เหล่านี้ ต้องมาติดตามบทความนี้กันได้เลย ห้ามพลาดเด็ดขาด

เนื้อหาภายในบทความ

บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Conversion Rate

สำหรับบทที่ 1 นี้ จะเป็นการกล่าวถึงความรู้พื้นฐานสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพของ Conversion Rate ซึ่งบอกเลยว่าเป็นบทที่เหมาะสำหรับมือใหม่มาก ๆ ถ้าสนใจอยากเรียนรู้ เรามาเริ่มกันได้เลย

การเพิ่มประสิทธิภาพ Conversion Rate คืออะไร

ก่อนที่จะไปเรียนรู้ในส่วนอื่น ๆ ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการเพิ่มประสิทธิภาพของ Conversion Rate (CRO) นั่นคืออะไร ซึ่งพูดง่าย ๆ ว่าเป็นวิธีปฏิบัติสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เเละมียอดจำหน่ายสินค้าจากการเข้าชมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเหมาะสำหรับเว็บไซต์ด้านธุรกิจที่เป็น Ecommerce ดังนั้นหากคุณกำลังทำธุรกิจทางด้านออนไลน์ การทำ Conversation นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะเพิ่มยอดขายของคุณได้

หรือหากคุณเป็นบล็อกเกอร์ เเละอยากให้มีผู้ติดตามจำนวนมาก การทำ Conversion Rate จะเน้นไปทางด้านการสื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย จากการสมัครรับข่าวต่าง ๆ ผ่านทางอีเมล เพื่อให้เข้าถึงผู้สนใจได้ง่ายขึ้น

เพราะฉะนั้นการทำ Conversion Rate เรียกได้ง่าย ๆ ว่าจะเป็นเทคนิคสำหรับการปรับเปลี่ยนให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก การทดสอบประสิทธิภาพของการทำโฆษณา เเละตรวจเช็คว่าการทำ Conversion มีผลลัพธ์การทำงานที่ดีหรือไม่ ต้องปรับปรุงแก้ไขในส่วนใดเพิ่มเติมบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Call To Action, การออกแบบเว็บไซต์ให้อ่านง่าย มีภาพประกอบ สร้างคอนเทนต์ที่กระชับเข้าใจได้ง่าย เเละดึงดูดความสนใจ, การตอบกลับลูกค้า, การสร้างโฆษณาให้กับเว็บไซต์ รวมไปถึงการสร้างความน่าเชื้อถือ เเละความปลอดภัยของเว็บไซต์ก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ Conversion Rate ได้

ความหมายของ Conversion Rate คืออะไร

Conversion Rate คือ จำนวนร้อยละของผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ เทียบกับอัตราการซื้อสินค้า เเละบริการภายในเว็บไซต์ ซึ่งจะเทียบกับอัตราการคลิกเข้าชมในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง กับการตอบสนองของผู้เข้าชมตามจุดประสงค์ของเว็บไซต์นั่นเอง 

ซึ่งคุณสามารถหาค่าของ Conversion Rate ได้ โดยการนำ Conversion หารกับจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ เเละคูณด้วย 100 ดังภาพข้างล่างนี้

ตัวอย่างเช่น

เว็บไซต์ของคุณกำลังขาบสินค้าเกี่ยวกับ Software product เเฃะมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณจำนวน 100 คน ในทุก ๆ เดือน ซึ่งใน 100 คนนั้นมีผู้สมัครใช้บริการสินค้าของคุณทั้งหมด 10 คน ดังนั้น Conversion Rate จะมีอยู่ที่ร้อยละ 10 หรือ 10% นั่นเอง

คำนวณได้ดังนี้ (10/100) x 100 = 10%

ทำไมการเพิ่มประสิทธิภาพ Conversion Rate จึงมีความสำคัญ

การทำ Conversion Rate มีความสำคัญมาก คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องทำ เเละมีความสำคัญอย่างไร

คุณเคยได้ยินวลีเด็ดนี้ไหม “การเพิ่ม Conversion สองเท่า ง่ายกว่าการเพิ่ม Traffic สองเท่า” ซึ่งจะบอกว่าเป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้พูดกันเล่น ๆ การทำ Conversion นั้นง่ายกว่าการทำ Traffic เเบบ 1000% เลยทีเดียว เเละให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

ซึ่งการปรับแต่งในส่วนของหน้า Landing Page เป็นเทคนิคที่สามารถเพิ่มอัตรา Conversion ได้ดีเลยทีเดียว โดยสามารถเพิ่มได้มากถึง 2 เท่าไปจนถึง 10 เท่าเลยก็ว่าได้ ซึ่งสาเหตุที่ ROI ของการเพิ่มประสิทธิภาพ Conversion Rate ไม่สามารถสรุปผลเป็นรูปเเบบเเผนภูมิได้

และจากการศึกษาพบว่าบริษัทส่วนใหญ่ได้มีการวางเเผน เเละทำเกี่ยวกับ Conversion Rate .มากถึง 68.5% ซึ่งสูงกว่าปีที่เเล้ว

แต่มีเพียงเเค่ 22% เท่านั้น ที่พึงพอใจในการทำ Conversion Rate ที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ ส่วนอีก 78% ยังไม่พึงพอใจผลลัพธ์ของ Conversion Rate ซึ่งต้องการที่จะปรับปรุงแก้ไข

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจที่ตัดสินใจลงทุนทำ CRO มักตะได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่ง Venture Beat รายงานว่าค่า ROI เฉลี่ยที่คำนวณจากเครื่องมือสำหรับการทำ CRO มีค่าอยู่ที่ 223%

ทำไม Conversion Rate จึงไม่ควรเป็นเป้าหมายอันดับ 1 สำหรับการทำเว็บไซต์

ถึงเเม้ว่าการทำ Conversion Rate จะเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เเต่ก็ไม่ได้เป็นเป้าหมายอันดับ 1 ของการทำเว็บไซต์ ซึ่งจะยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ เช่น หากคุณมีเว็บไซต์ที่เป็น Ecommerce เเละมีการขายสินค้าอย่าง Iphone เเละเว็บไซต์มี Conversion Rate อยู่ที่ 5% 

ถ้าคุณเริ่มขาย iPhone อยู่ที่ 1 ดอลลาร์ ค่า Conversion Rate อาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 100% 

การเพิ่ม Conversion Rate เป็นสิ่งที่ดี เเต่เป้าหมายสูงสุดของการทำคือเพิ่มจำนวนรายได้ให้กับเว็บไซต์ของคุณ ดังนั้นหากการทำ CRO ที่เพิ่มสูงขึ้น เเต่รายได้ลดลง ก็เท่ากับว่าไม่มีประโยชน์ โดยการทำ CRO นอกจากจะคำนึงถึงประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นเเล้ว ยังต้องนึกถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย 

บทที่ 2 เริ่มทำ Conversion Rate ต้องทำอย่างไรบ้าง

มาถึงบทที่ 2 กันเเล้ว ซึ่งในบทนี้จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการเริ่มทำเเคมเปญ Conversion Rate (CRO) โดยจะเป็นในส่วนของการรวบรวมข้อมูล แต่คนส่วนใหญ่จะมองข้ามขั้นตอนนี้ไป ทำให้การทำ CRO ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากพอ เพราะฉะนั้นหากคุณอยากได้รับ Conversion Rate เพิ่มขึ้น 2-10 เท่า เรามีเทคนิคที่เป็นกุญแจสำคัญ ส่งผลให้เว็บไซต์มีค่า CRO ที่เพิ่มสูงได้ 

เเละต่อไปนี้จะเป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลสำหรับการทำ CRO ซึ่งไม่ได้อยากอย่างที่คิด

กำหนดเป้าหมาย เเละเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการทำ CRO ภายในเว็บไซต์

สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการตั้งเป้าหมายสำหรับการทำแคมเปญ CRO เช่น สมมติคุณเป็นหนึ่งผู้ใช้งานเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เป้าหมายก็คือการเพิ่ม Conversion Rate ให้ถึง 10% หรืออาจจะมีเป้าหมายในการปรับปรุงหน้าเพจที่เป็นเพจเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ 

เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการวิเคราะห์ เเละทดสอบ A/B test หลังจากที่กำหนดเป้าหมาย ให้ทำการจดค่า Conversion Rate เอาไว้ เเละเมื่อทำการปรับปรุงเเล้วให้ตรวจสอบอีกทีเพื่อเปรียบเทียบว่าระหว่างก่อนและหลังในการปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพ Conversion Rate ว่าดีขึ้น หรือเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด

เจาะลึก Google Analytics

หลังจากที่คุณได้ทราบถึงค่า Conversion Rate เเล้ว แต่ปรากฏว่าผลลัพธ์ยังไม่ดีพอ ซึ่งคุณจะต้องมาสืบหาสาเหตุว่าทำไมการปรับเปลี่ยน Conversion ถึงไม่ดีพอ โดยการใช้ Google Analytic ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะบอกคุณได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าส่วนไหนของเว็บไซต์ที่มี Conversion ที่ดีที่สุด และแย่ที่สุด เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างเจาะจง 

ตัวอย่างเช่น

Cart Abandonment หรือการเทตระกร้าสินค้า การยกเลิกคำสั่งซื้อ เป็นปัญหาขนาดใหญ่ของเว็บไซต์ Ecommerce ซึ่ง Google Analytics จะสามารถบอกคุณได้ว่าเป็นเพราะเหตุใดทำไมลูกค้าถึงยกเลิกสินค้า เเละคุณจะทราบได้ว่าจะต้องเริ่มทดสอบเว็บไซต์ที่จุดไหน พร้อมต้องแก้ไขปรับปรุงอะไรบ้าง

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งคุณสามารถใช้ Google Analytics เพื่อตรวจสอบดูว่าโพสต์บล็อกใดที่มีการทำงานในส่วน Conversion ที่แย่ที่สุด

นอกจากนั้นยังสามารถใช้ในการเปรียบเทียบความแตกต่างของ Conversion Rate ในอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเข้าชมเว็บไซต์ เช่น จะเห็นได้ว่า Conversion Rate บนเเท็บเล็ต หรือไอแพดจะมีค่าต่ำกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ หรือบน Desktop ของอุปกรณ์พีซี

ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าการใช้เเท็บเล็ต หรือไอเเพดในการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณมีการแสดงผลของหน้าเว็บไซต์ที่ไม่ดีพอ เช่น สัดส่วนบนหน้าเว็บไม่สมดุล ป็อปอัพต่าง ๆ ไม่สามารถโหลดเเสดงบนหน้าจอของเเท็บเล็ตได้ เป็นต้น โดยคุณจะต้องรีบแก้ไขปัญหานี้ เพื่อเพิ่ม Conversion Rate ให้สูงขึ้น 

ค้นหาข้อมูลในเชิงปริมาณ 

ข้อมููลเชิงปริมาณเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการเพิ่ม Conversion Rate ได้ ขั้นแรกคุณสามารถเปิด heatmap เเละเลือก user session software อย่างเช่น HotJar และ Crazy Egg เป็นต้น

โดยเครื่องมือเหล่านี้จะแสดงให้เห็นว่าผู้คนโต้ตอบกับเพจของคุณอย่างไร ซึ่งไม่ต้องมาเสียเวลาคาดเดาในการตอบคำถามว่า “ทำไมหน้าเพจถึงดูไม่มีประโยชน์” หรือดูไม่น่าใช้งานสำหรับผู้เข้าชม

ตัวอย่างเช่น

ในเว็บไซต์ของคุณมีแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ซึ่งอยู่ตรงด้านข้างของบล็อก เเต่ไม่มีผู้เข้าชมสนใจที่จะคลิกเข้าไปอ่านเลย พวกเขากับละเลยส่วนนี้ไป นั่นแสดงให้เห็นว่าบล็อกของคุณมีประสิทธิภาพของ Conversion ต่ำ จะต้องทำการเเก้ไขในส่วนนี้ โดยอาจจะปรับปรุงหน้าบล็อก หรือทำการลบส่วนที่ผู้คนเมินเฉยนี้ออกเสีย 

นอกจากนั้นคุณยังสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อสำรวจข้อมูลความคิดเห็นของผู้คนที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ได้อีกด้วย เช่น HubSpot จะมีคำถามที่เป็นแบบปรนัยสำหรับใช้ในการตรวจสอบจุดประสงค์ของผู้ที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ เพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย 

การรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ

ในส่วนของการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพนี้ จะช่วยอธิบายภาพรวมว่าเหตุผลใดทำไมผู้คนจึงไม่ทำ Conversion เพราะเพียงเเค่ข้อมูลเชิงปริมาณนั้นไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์ในด้านนี้

ซึ่งคุณสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพได้โดยวิธีดังต่อไปนี้

  • จากการสัมภาษณ์ ซึ่งสามารถสัมภาษณ์ได้ทั้งแบบตัวต่อตัว หรือจะเป็นออนไลน์ เช่น ผ่านทาง Skype ก็ได้
  • การสำรวจข้อมูลเชิงลึก
  • การสำรวจโดยการลงพื้นที่
  • การบันทึกแชทจองลูกค้า หรือการจัดเก็บ Support Ticket ของลูกค้า
  • การทดสอบยูสเซอร์

ซึ่งวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพสำหรับการทำ Conversion Rate ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่สามารถทำได้ เเต่ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นวิธีที่นิยมใช้ และสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพได้จริง 

ตัวอย่างเช่น

หากคุณเป็น CEO ของบริษัท SEO Agency และต้องการสอบถามข้อมูลเชิงคุณภาพจากลูกค้าไม่ว่าจะเป็นลูกค้าปัจจุบัน หรือผู้ที่เคยมาใช้บริการ คุณจะต้องมีคำถามเหล่านี้อย่างแน่นอน

  • เหตุผลอะไรที่คุณต้องการจ้างบริษัท SEO Agency ทำไมถึงอยากใช้บริการ
  • คุณสนใจบริการด้านใดของ SEO เพิ่มเติมหรือไม่
  • คุณมีงบประมาณเท่าไหร่ในการจ้าง
  • คุณมีเหตุผลอะไรที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกจ้างอเจนซี่

ซึ่งคำถามเหล่านี้จะพบได้บ่อยมากในการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อใช้ในการทำ CRO และเมื่อคุณได้ข้อมูลครบถ้วนเเล้ว ต่อไปจะเป็นการทำสอบ A/B test

บทที่ 3 วิธีเรียกใช้การทดลอง A/B (A/B test)

ในบทนี้คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการทำสอบ A/B อย่างมืออาชีพ ซึ่งจะบอกเทคนิคขั้นตอนในการทำทั้งหมด เชื่อได้เลยว่าเมื่อคุณอ่านบทนี้จบแล้ว คุณจะสามารถทำ A/B test ได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ดังนันหากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่มีคำถามว่า 

“ฉันจะเริ่มต้นการทดสอบนี้ได้อย่างไร” 

“ซอฟต์แวร์สำหรับใช้ทดสอบ A/B test ที่ดีที่สุดคืออะไร” 

คำตอบทุกอย่างอยู่ที่บทนี้แล้ว ครอบคลุมทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ A/B test

คุณมีอัตราการเข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic) ที่เพียงพอหรือไม่

ต้องขอบอกเลยว่าหากเว็บไซต์ของคุณมีอัตราการเข้าชมที่ต่ำ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับการทดสอบ A/B เพราะว่าอะไรคุณสงสัยใช่หรือไม่ เนื่องจากว่าหากทำการทดสอบไปเเล้ว จะไม่มีนัยสำคัญทางสถิตินั่นเอง ซึ่งผลลัพธ์ในการวิเคราะห์ที่ถูกต้องจำเป็นตัองมีค่านัยสำคัญทางสถิติที่ 90-95%

ดังนั้นก่อนที่จะทำ A/B testสิ่งเเรกจะต้องตรวจสอบอัตราการเข้าชมของเว็บไซต์ก่อนว่ามีปริมาณที่เพียงพอต่อการทดสอบหรือไม่ โดยใช้เครื่องมืออย่าง Optimizely’s Sample Size calculator 

เครื่องมือนี้สามารถใช้งานได้ง่าย เพียงแค่ป้อนค่า Conversion Rate ที่เป็นค่าปัจจุบันของเพจหรือเว็บไซต์ลงไป และกำหนดค่า Conversion Rate ที่คุณต้องการ พร้อมกับระดับนัยสำคัญทางสถิติ ดังเช่นภาพด้านล่างนี้

จากนั้นจะปรากฏจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่คุณต้องการ เพื่อที่จะสามารถทดสอบ A/B test ได้ ในระดับนัยสำคัญทางสถิติที่คุณกำหนดไว้

สิ่งที่ต้องแยกทดสอบก่อนมีอะไรบ้าง

หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยมากที่สุด ก็คือคำถามเกี่ยวกับการทดสอบที่มักจะมีผู้คนถามกันว่า “ฉันจะทดสอบอะไรก่อนดี” ซึ่งเป็นคำถามที่ตอบได้ยากมาก เพราะมีอยู่หลายล้านสิ่งที่จะสามารถทดสอบได้บนเว็บไซต์ 

อย่างไรก็ตามเรามีวิธี 3 วิธี ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าจะเริ่มการทดสอบ A/B ที่ส่วนใดของเว็บไซต์ก่อน

หน้าเพจที่มีอัตราการเข้าชมสูง

เมิ่อคุณปรับ Conversion Rate ในหน้าเว็บที่อัตราการเข้าชมสูง รับประกันว่าคุณจะสามารถเพิ่ม Conversion Rate ให้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมได้แน่นอน

ตัวอย่างเช่น

ปีที่เเล้วทางเว็บไซต์ของเราได้มีการทดสอบเเยกในส่วนของ Backlinko homepage เนื่องจากเป็นหน้าเพจที่มีอัตราการเยี่ยมชมสูงที่สุด เมื่อเทียบกับหน้าเพจอื่น ๆ ของเว็บไซต์

หน้าเพจที่มีประสิทธิภาพแย่ที่สุด

นอกจากนั้นคุณยังสามารถเริ่มการทดสอบ A/B test บนหน้าเว็บเพจที่มีค่า Conversion Rate ต่ำมาก ซึ่งหน้าเหล่านี้รอคอยเพื่อที่จะปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการปรับปรุงจะช่วยให้หน้าเพจมีค่า Conversion Rate ที่ดีมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

ข้อมูลเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ

ข้อมูลที่รวบรวมมาได้ จะเป็นข้อมูลที่ช่วยให้คุณสามารถพบปัญหาต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ อย่างเช่น ข้อมูลการทดสอนของผู้ใช้บอกคุณว่า “ผู้คนมีปัญหาในการหาปุ่มสำหรับการจองห้องพัก” ดังนั้นการทดสอบครั้งแรกของคุณ ควรจะเป็นการปรับเปลี่ยนตำแหน่งปุ่มจองห้องพัก เอามาไว้ด้านหน้า หรือบริเวณที่สามารถมองเห็นได้ง่าย

การสร้างสมมติฐาน

เมื่อคุณได้ตัดสินใจแน่วแน่เแล้วว่าจะทดสอบอะไร ก็ถึงเวลาในการสร้างสมมติฐาน ซึ่งคุณอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องสร้าง เนื่องจากหากไม่มีสมมติฐาน จะทำให้คุณทดสอบเเบบสุ่ม ไม่มีเป้าหมายที่แน่นอนในการทดสอบ พูดง่าย ๆ ว่าการสร้างสมมติฐาน คือการกำหนดขอบเขตสำหรับการทดสอบนั่นเอง

ต้วอย่างเช่น

การทดสอบ Scrollbox ในเว็บไซตื Backlinko ของพวกเราเมื่อปีที่แล้ว 

ซึ่งเราได้ตั้งสมมติฐานว่า Scrollbox จะสามารถปรับปรุงการสมัครรับจดหมายข่าวได้ โดยจะไม่กระทบต่อการทำ Conversion ในส่วนอื่น ๆ และหลังจากที่ตั้งสมมติฐานแล้ว ก็เริ่มทำการทดสอบได้เลย

วิธีการเรียกใช้การทดสอบ A/B Test

ต่อไปนี้จะบอกเคล็ดลับ 2 ข้อ ที่จะช่วยให้คุณสามารถเรียกใช้การทดสอบแบบแยกส่วนได้ง่ายขึ้น โดยมีเคล็ดลับดังนี้

ให้เริ่มทดสอบการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

หนึ่งในข้อผิดพลาดสำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบ A/B test ที่พบบ่อยก็คือการทดสอบการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในเว็บไซต์ เช่น สีของปุ่มคลิก ซึ่งไม่ได้เป็นการเปลี่ยนเเปลงอะไรที่น่าสนใจสักเท่าไหร่

แนะนำว่าถ้าจะให้ดีต้องทดสอบในส่วนของการเปลี่ยนเเปลงที่เป็นการเปลี่ยนเเปลงขนาดใหญ่ก่อน เช่น การทดสอบหน้าเว็บไซต์เวอร์ชันต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องทดสอบในส่วนของหน้าเพจเก่าที่มีการเชื่อมโยงลิงก์ในบล็อกโพสต์ล่าสุดของเว็บไซต์ จากนั้นค่อยไปทดสอบการเปลี่ยนแปลงขนาดเล็ก เช่น ปุ่มคลิก โลโก้ และขนาดตัวอักษร เป็นต้น

ซึ่งถ้าหากตัดสินใจทดสอบเว็บไซตืในเวอร์ชันเก่า คุณจะได้รับอีเมล free case study ที่เป็นคำเเนะนำสำหรับการปรับปรุงเว็บไซต์

คุณต้องใช้เครื่องมือทางด้านซอฟต์แวร์เป็นตัวช่วย

ขอเเนะนำเครื่องมือทดสอบ A/B test ที่นิยมใช้กัน ซึ่งมีดังนี้

ในการเลือกใช้เครื่องมือจะต้องดูคุณสมบัติของเครื่องมือแต่ละอันว่าเหมาะสมกับงานที่คุณกำลังทำหรือไม่ เเละต้องดูงบระมาณที่ต้องจ่ายสำหรับการใช้เครื่องมือเหล่านั้นอีกด้วยว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือเปล่า

รวบรวมผลลัพธ์ และสเกล

มาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบ A/B test กันแล้ว ซึ่งจะเป็นขั้นตอนในการรวบรวมผลลัพธ์ วิเคราะห์ และเรียนรู้ ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบ A/B ส่วนใหญ่จะแจ้งให้คุณทราบว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นมีนัยสำคัญทางสถิติหรือไม่

ซึ่งในการทดสอบนี้จะบอกผลลัพธ์ต่าง ๆ ให้กับคุณ เช่น 

  • สมมติฐานที่คุณตั้งขึ้นนั้นถูกต้องหรือไม่ 
  • บทเรียนที่ได้จากการทดสอบครั้งนี้ สามารถนำไปใช้กับการทดสอบในอนาคตได้
  • ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเเนวทางไกด์ไลน์ให้คุณทราบว่าควรจะทดสอบอะไรต่อไป

บทที่ 4 การออกเเบบ และปรับแต่งเว็บไซต์เน้นทางด้าน Conversion (Conversion-Focused Design)

คุณคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าการออกแบบเว็บไซต์ที่ดีไม่ได้มีเพียงแค่รูปลักษณ์ที่สวยงามเท่านั้น เป้าหมายสำหรับการออกแบบเว็บไซต์ คือ การทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกชอบ เเละประทับใจเมื่อเข้ามาใช้งานเว็บไซต์

ดังนั้นบทนี้สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้คือการเพิ่มจำนวน Conversion ด้วยการออหแบบเว็บไซต์

โน้มน้าวผู้เข้าเยี่ยมชมด้วยคำบรรยายภาพที่กระชับ

การเขียนข้อความในเชิงโฆษณาสำหรับเว็บไซต์จะช่วยเพิ่มการเข้าชมได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นคำบรรยายภาพ หรือ Image Caption จึงเป็นจุดที่สามารถดึงดูดผู้คนไ้ด้เป็นอย่างดี

แนะนำผู้ใช้งานด้วย Directional Cues

ในส่วนของ Directional Cues เป็นองค์ประกอบของการออกแบบเว็บไซต์ที่มีอิทธิพลต่อผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นตัวชี้นำทางแนะนำให้ผู้เข้ามาใช้งานไปยังตำแหน่งที่จำเพาะเจาะจงบนเว็บไซต์ ทำให้ผู้เข้าเยี่ยมชมไม่ต้องเสียเวลาในการค้นหา

ตัวอย่างเช่น

ลูกศรชี้กำหนดทิศทางสำหรับไปยังหน้าเพจอื่น ๆ บนเว็บไซต์ ดังภาพด้านล่างนี้

เปลี่ยนแบบฟอร์มการกรอกข้อมูลที่น่าเบื่อให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

โดยปกติทั่วไปแล้ว จะสังเกตเห็นได้ว่าไม่มีใครที่ชอบกรอกแบบฟอร์มเพราะมันน่าเบื่อ เเละดูเหมือนจะทำให้เสียเวลา เว้นแต่ว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนการกรอกแบบฟอร์มเดิม ๆ ให้ดูน่าสนุกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่าการสร้างแบบฟอร์มในสไตล์ “Mad Lib” ช่วยเพิ่มอัตราการกรอกแบบฟอร์มให้เพิ่มขึ้นได้มากถึง 25-40% เลยทีเดียว

และนี่คือเเบบฟอร์มสไตล์ Mad Lib ที่ใช้สำหรับการกรอกข้อมูล

สร้าง Call To Action ในรูปแบบของปุ่มคลิกแทนการใช้ข้อความหรือรูปภาพ

Call To Action หรือ CTAs คือ การกระตุ้นให้เกิดความสนใจต่อผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ โดยใช้การดีไซน์มาเป็นตัวดึงดูดความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของปุ่ม แบนเนอร์ หรือรูปภาพต่าง ๆ ซึ่งอยากจะแนะนำว่าการสร้าง CTAs ในรูปแบบของปุ่มจะได้ผลดีที่สุด เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการคลิกปุ่ม

และถ้า CTAs ของคุณเป็นลิงก์ข้อความ หรือรูปภาพ ผู้คนมักจะไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คือ Call To Action เพราะฉะนั้นรับรองว่าอัตราการคลิกจะต้องลดต่ำลงอย่างแน่นอน

แสดงหมายเลขโทรศัพท์ขนาดใหญ่ สำหรับการใช้งานเยี่ยมชมเว็บไซต์บนโทรศัพท์มือถือ 

แนะนำว่าลองเปลี่ยนขนาดตัวเลขของเบอร์โทรศีพท์มือถือบนเว็บไซต์ที่มีขนาดเล็ก ให้เป็นขนาดใหญ่ที่คลิกได้ดูสิ หมายเลขโทรศัพท์มือถือที่โดดเด่นสะดุดตา สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจให้กับเพจได้ พร้อมทั้งยังเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและการบริการภายในเว็บไซต์ได้อีกด้วย

และภาพนี้คือตัวอย่าง 

ใช้หน้า Landing Page สำหรับการสร้าง Commitment

Landing page หรือหน้าแรกของเว็บไซต์ โดยปกติแล้ว หน้า landing page จะมีเนื้อหาและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือโฆษณาที่นำผู้ใช้งานมายังหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ นอกจากนี้ หน้า landing page ยังสามารถมีฟอร์มการลงทะเบียนหรือการขายสินค้าได้เช่นกัน โดยหน้า landing page มักจะถูกออกแบบให้มีขนาดเล็กและโดดเด่นเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้งานดำเนินการตามคำขอของผู้โฆษณาหรือเจ้าของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น และมีอัตราการแปลง (conversion rate) สูงขึ้น

ใช้แถบ Progress Bar

สำหรับการใช้ Progress Bar จะช่วยกระตุ้นให้ผู้คนทำสิ่งที่พวกเขาสนใจตั้งแต่แรกเริ่มจนสำเร็จบนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้บ่งบอกความคืบหน้าในการดำเนินการต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน โดยแสดงอยู่ในรูปแบบแถบแสดงความคืบหน้าที่อยู่ภายในเว็บไซต์ การใช้ progress bar สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการและให้ผู้ใช้งานรู้สึกมั่นใจได้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นได้เสร็จสิ้นกระบวนการอย่างสมบูรณ์ โดยส่วนใหญ่ Progress Bar จะแสดงเป็นค่าร้อยละ หรือเป็นกราฟฟิกที่แสดงให้เห็นว่ากระบวนการที่ผู้ใช้งานทำอยู่นั้นอยู่ในขั้นตอนใด ดังภาพตัวอย่างจาก GoDaddy ด้านล่างนี้

ใช้ Action Color สำหรับการทำ Call To Action 

สำหรับปุ่มบนหน้าเว็บไซต์ที่เป็น Call To Action หรือ CTA แนะนำว่าควรทำให้โดดเด่น โดยการใช้สีที่มีคอนทราสต์สูงกับส่วนอื่น ๆ ของหน้าเพจ

ตัวอย่างเช่น

กรณีศึกษาที่เผยแพร่ใน Hubspot Performance พบว่า Conversion Rate สามารถเพิ่มได้ถึง 21% เมื่อเปลี่ยนปุ่มไปเป็นสีแดง ที่มีคอนทราสต์สูง ๆ 

ลดจำนวนช่องในการกรอกแบบฟอร์ม

การมีช่องให้กรอก หรือตัวเลือกในเเบบฟอร์มเยอะเกินควรเป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งแนะนำว่าควรตัดออกบ้าง ยกตัวอย่างเช่น Expedia สามารถเพิ่มยอดขายต่อปีได้ถึง 12 ล้านดอลลาร์ เพียงแค่การลบช่อง “ชื่อบริษัท” ออก จากขั้นจอนการสมัครบนเว็บไซต์ เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่จำเป็นต้องกรอก เเนะนำว่าควรตัดออก

บทที่ 5 วิธีสร้างหน้า Landing Page อย่างไรให้มี Conversion Rate สูง

เมื่อกล่าวถึง Conversion Rate Optimization (CRO) ของหน้า Landing Page นั้นมีขนาดใหญ่มาก เป็นเพราะว่าหน้า Landing Page นี้ เป็นหน้าที่มีอัตราการคลิกเข้าชมสูงกว่าหน้าอื่น ดังนั้นหากคุณสามารถที่จะเพิ่ม Conversion Rate ในส่วนของหน้านี้ได้ถึง 10% หมายความว่า คุณมีโอกาสในการเพิ่มกำไรจากการขายสินค้า และบริการมากถึง 10% นั่นเอง

บทนี้จะพาคุณมาเรียนรูัเทคนิคบางประการที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อเพิ่ม Conversion Rate ให้กับหน้า Landing Page บนเว็บไซต์ของคุณ

ทดสอบ Negative Words ในส่วนของ Headline บนเว็บไซต์

Outbrain ค้นพบว่า Negative Words หรือคำเชิงลบที่อยู่ในส่วนของ Headline เช่นคำว่า “ไม่เคย” หรือ คำว่า “แย่ที่สุด” มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า Positive Words หรือคำเชิงบวก เช่นคำว่า “เสมอ” หรือ คำว่า “ดีที่สุด” โดยพบว่ามีประสิทธิภาพมากว่าถึง 63% 

ตัวอย่างเช่น

Headline ที่เขียนว่า “5 อาหารที่แย่ที่สุดสำหรับการลดไขมันหน้าท้อง” จะสามารถดึงดูดความสนใจผู้คนได้มากกว่าประโยคเชิงบวกอย่าง “5 อาหารที่ดีที่สุดสำหรับการลดไขมันหน้าท้อง”

ใช้ Call To Action ที่น่าสนใจ แทนคำว่า “ซื้อ” หรือ “ลงทะเบียน”

คำว่า “ซื้อ” อาจจะเป็นคำที่ใช้แล้วดูกดดันผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้ซื้อสินค้า หรือบริการที่มากเกินไป ดังนั้นแนะนำว่าให้เปลี่ยนมาเป็นการใช้ Call To Actiom ที่ดูซอฟต์กว่า และน่าสนใจมากว่า 

นี่คือตัวอย่างจาก Unbounce

การเปลี่ยนจากคำว่า “แผนสำหรับการซื้อ” มาเป็น “เริ่มใช้งานทดลองฟรี 30 วัน” จะดีกว่า สามารถกระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์สนใจสิ่งที่คุณต้องการนำเสนอมากขึ้น

แนะนำให้ใช้ Action-Focused Copy

สำหรับ Copywiter จะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการกระทำที่เน้นไปทางโน้มน้าวใจ จะช่วยกระตุ้นเพิ่ม Conversion Rate ได้ ดังนั้นแทนที่จะเน้นในส่วนของข้อเท็จจริง เช่น “ผลิตภัรฑ์ของเราช่วยให้ผู้คนลดน้ำหนักได้” เปลี่ยนมาเป็นประโยคที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้คนที่อยากจะผอมสนใจในสินค้าของคุณมากขึ้นอย่างเช่นประโยคนี้ “ลดไขมันหน้าท้องที่ดื้อรั้น” เป็นต้น

แสดงข้อมูลเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญ

การสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้เกี่ยวกับการมีลูกค้าจำนวนมากเพียงอย่างเดียว คุณยังสามารถแสดงข้อมูลเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญในรูปแบบของคำพูดจากผู้เชี่ยวชาญ หรือแสดงโลโก้ของบริษัท รวมทั้งรางวัลที่คุณเคยได้รับมา จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และเพิ่ม Conversion Rate ได้

ใช้ Information Gap

สำหรับ Information Gap เป็นส่วนที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งสำหรับการเลือกใช้อีเมล และการสร้างโอกาสในการขาย

ตัวอย่างเช่น

หากคุณพึ่งเขียน Ebook เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก คุณสามารถสร้าง Information Gap โดยใช้ข้อมูลเหล่านี้ “การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอาหารที่ดูเหมือนจะดีต่อสุขภาพ อาจทำให้การเผาผลาญของคุณลดต่ำลง” ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้คนติดตามข้อมูลที่คุณเขียนลงใน Ebook เพิ่มมากขึ้น

ต้องสร้างหัวข้อข่าวที่มีความจำเพาะเจาะจง

การพาดหัวข่าวที่ธรรมดามากเกินไป ไม่มีทางช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างแน่นอน ดังนั้นต้องสร้างหัวข้อข่าวให้มีความเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือการบริการของคุณ เพื่อกระตุ้นความสนใจของลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์

ตัวอย่างเช่น

ดูที่ BonFire แทนที่จะใช้คำที่ดูเรียบง่าย เช่น “เสื้อเชิ้ตรุ่นใหม่ล่าสุด” แต่เปลี่ยนเป็นคำที่จำเพาะมากกว่า เช่น “วิธีการออกแบบเสื้อเชิ้ต และเเผนการตลาดออนไลน์สำหรับการขาย” เป็นต้น 

ใช้การตรวจสอบแบบอินไลน์

การตรวจสอบแบบอินไลน์ เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ซึ่งจะช่วยให้เห็นข้อผิดพลาดทันท่สำหรับการกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ แทนที่จะแสดงข้อผิดพลาดให้ผู้คนเห็นหลังจากกรอกและส่งแบบฟอร์มไปเเล้ว การตรวจสอบแบบอินไลน์จะช่วยให้ผู้คนทราบจุดผิดพลาดทันทีในขณะที่กรอกแบบฟอร์ม โดยไม่จำเป็นต้องรอเวลา หรือรอให้กรอกเวร็จหมดแล้ว

และนี่คือตัวอย่างของการตรวจสอบแบบอินไลน์

ซึ่งจากการศึกษาพบว่าการตรวจสอบแบบอินไลน์นี้ช่วยเพิ่มแัตราการเข้าร่วมกรอกแบบฟอร์มที่สูงเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ

เลือกใช้ Headlines ที่ไม่ไร้สาระ

จุดประสงค์ของการสร้าง Headline ไม่ได้มีเพียงแค่เอาไว้เพิ่มยอดขายเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงคือ Headline คือ การแสดงให้ผู้คนเห็นประโยชน์จากการใช้ผลิตภัณฑ์หรือการบริการของคุณ ดังนั้นการสร้าง Headline จะต้องเน้นเนื้อหาสาระสำคัญที่จำเพาะต่อเป้าหมายของคุณ 

สร้างกระแสในโซเชียลไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มยอดไลค์ ผู้ใช้งาน ผู้ติดตาม 

เชื่อหรือไม่ว่าพลังของโซเชียลเป็นอิทธิพลสำคัญสำหรับการเพิ่ม Conversion Rate ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการถูกใจบน Facebook หรือปริมาณการดาวน์โหลดต่าง ๆ จากโซเชียล

นี่คือตัวอย่าง

แต่อย่างไรก็ตามการปรับปรุง Conversion Rate โดยการใช้ Social อาจจะไม่ได้ผล 100% เสมอ ซึ่งคุณต้องคอยตรวจสอบ และปรับปรุงแก้ไขตลอดเวลา

ไม่จำเป็นต้องใช้ศัพท์เฉพาะด้าน ใช้ศัพท์ภาษาทั่วไปในบทความ

สำหรับเว็บไซต์ที่ดี แนะนำว่าควรใช้คำศัพท์ทั่วไป ที่ไม่ว่าใครเข้ามาอ่านก็เข้าใจได้ ซึ่งการใช้คำศัพท์ หรือภาษาที่มีความจำเพาะเจาะจงเฉพาะด้าน จะทำให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจเนื้อหาที่คุณกำลังสื่อได้ยากมากยิ่งขึ้น ทั้งยังส่งผลให้ผู้เข้าชมไม่อยากกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณอีก

เปลี่ยนบล็อกข้อความ ให้เป็นบลูเล็ตในการแสดงหัวข้อย่อย

การอ่านข้อความที่เป็นพารากราฟยาว ๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกขี้เกียจ และแน่นอนไม่มีใครชอบเนื้อหาบทความที่มีแต่ตัวหนังสือ ดังนั้นแนะนำว่าให้ใช้ Bullet แทนสำหรับการแสดงหัวข้อย่อย เพื่อให้เนื้อหาดูกระชับและน่าอ่าน

แสดงราคาบนหน้า Landing Page

หากราคาการบริการ หรือสินค้าภายในเว็บไซต์ของคุณไม่ได้สูงมากเกินไป แนะนำว่าอย่าซ่อนราคาเอาไว้ เนื่องจากผู้เข้าชมอาจจะเกิดตำถามได้ว่า “ราคาอยู่ไหน” “ราคาเท่าไหร่” และอาจคิดได้ว่าที่ไม่เห็นราคาแบบนี้ต้องแพงอย่างแน่นอน

แต่ในการศึกษาพบว่าการใส่ราคาลงไปในส่วนของ Landing Page สามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว

บทที่ 6 Conversion Rate สำหรับเว็บไซต์ Ecommerce

ถ้าหากคุณเป็นหนึ่งผู้ใช้งานเว็บไซต์ Ecommerce นั่นหมายความคุณทราบดีอยู่แล้วว่า Conversion Rate ที่ดี จะช่วยสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น

แต่คำถามคือ คุณจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซได้อย่างไร เพื่อเพิ่มค่า Conversion Rate เพราะฉะนั้นบทที่ 6 จะพาทุกท่านมาเรียนรู้สุดยอดเทคนิคสำหรับการทำ CRO ที่ได้ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อปรับเปลี่ยนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เป็นแหล่งซื้อขายออนไลน์ชั้นยอดของคุณ 

ใช้เทคนิค Price Anchoring กลยุทธ์ในการตั้งราคาหลอก

การใช้ Price Anchoring เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ทางด้านการตลาด ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการตั้งราคาหลอก โดยการตั้งราคาสินค้าอาจจะตั้งให้สูงกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย เเล้วค่อยเผยราคาที่ถูกกว่า ซึ่งเป็นราคาที่แท้จริง ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่า กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ 

โดยหน้าขายสินค้าหรือบริการอาจจะตั้งราคาแนะนำไว้ เพื่อให้ลูกค้าเห็นราคาคร่าว ๆ ก่อน ดังอย่างภาพด้านล่างนี้

เพิ่ม Reassurance Copy ลงไปในหน้าผลิตภัณฑ์ และหน้าการชำระเงิน

Reassurance Copy คือ สำเนาการรับประกันสินค้า หรือการบริการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการ Call To Action (CTA) ที่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจ และมั่นใจในการซื้อสินค้าการบริการจากเว็บไซต์ของคุณ

ตัวอย่างเช่น

Booking.com เว็บไซต์จองตั๋ว และที่พัก จะมีนโยบายในการออกใบรับประกันสินค้าบริการออนไลน์ให้กับลูกค้าทุกครั้ง หลังจากที่ลูกค้าตัดสินใจเลือกใช้บริการ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการซื้อขายออนไลน์ ทำให้ลูกค้ามั่นใจ พร้อมยังกับมาใช้บริการเว็บไซต์อยู่เป็นประจำ

ต้องแสดงภาพสินค้าที่มีคุณภาพสูง คมชัด หลาย ๆ ภาพในหน้าผลิตภัณฑ์

รูปภาพของสินค้ามีผลต่อค่า Conversion Rate อย่างมาก ดังนั้นการใช้รูปภาพหลาย ๆ รูป สักประมาณ 5-10 ภาพ จะช่วยให้ลูกค้ามองเห็นทุกมุมของสินค้า เช่น ในภาพด้านล่างนี้ เป็นภาพสินค้าหม้อต้มอาหาร ที่มีทั้งภาพและวีดีโอหลาย ๆ ภาพให้ลูกค้าได้รับชม ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจ และเพิ่มยอดขายได้

ระบุยอดขายสูงสุดของคุณอย่างชัดเจน

การทำเครื่องหมายอย่างชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ของคุณอัยไหนที่เป็น “สินค้าขายดี” หรือ “ยอดนิยม” จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่าย และเพิ่มยอดขายได้ดีขึ้น การสร้างรายชื่อสินค้าขายดีของคุณ สามารถตรวจสอบได้จากกลุ่มลูกค้า หรือประวัติการซื้อ

ตัวอย่างเช่น

Booking.com ระบุห้องพักบางห้องที่เหมาะสมสำหรับนักเดินทางบางประเภท

มีการค้นหาเว็บไซต์ที่ยอดเยี่ยม

การค้นหาเว็บไซต์สามารถสร้างความแตกต่างกันอย่างชัดเจนมมากใน Ecommerce Conversions เนื่องจากว่าคุณกำลังแสดงให้ผู้คนเห็นสิ่งที่พวกเขาต้องการค้นหา!

เทคนิคสำหรับมือโปร: คุณต้องให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนเข้าค้นหามากที่สุด จากนั้นให้ค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น คุณสามารถนำเสนอสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในหน้าแรกบนเว็บไซต์ หรือจะเอาไว้ที่ด้านบนสุดของหน้าหมวดหมู่ก็ได้

ให้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้สูงเอาไว้ครึ่งหน้า ที่ตำแหน่งด้านบนของหน้าเว็บไซต์

หากคุณอยากเพิ่ม Conversion ด้วยวิธีการง่าย ๆ แนะนำให้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำกำไรได้สูงที่สุดเอาไว้ด้านหน้า และต้องวางภาพสินค้านั้นตรงกลางบริเวณครึ่งหน้าบนของเว็บไซต์ โดยเฉพาะหน้าแรก หน้าผลิตภัณฑ์ และหน้าหมวดหมู่ 

รวบรวมอีเมลและการดูแล

หากคุณไม่ใช่เว็บไซต์ขนาดใหญ่อย่าง Amazon การที่จะปิดดีลลูกค้าในทันทีค่อนข้างจะยาก ซึ่งคุณต้องสร้างป็อบอัพฟรีต่าง ๆ นำเสนอให้กับลูกค้า เช่น รายการสูตรอาหาร หรืออีเมลข่าวที่น่าสนใจ ให้กับลูกค้าเพื่อที่พวกเขาจะได้สนใจ และนึกถึงบริษัทของคุณเมื่อต้องการซื้อสินค้านั้น ๆ 

เพิ่มตัวกรองผลิตภัณฑ์

หากคุณมีหน้าหมวดหมู่สินค้าจำนวนหลายรายการ แนะนำว่าควรเพิ่มตัวกรองสินค้า ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนสามารถมองเห็นสินค้าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณได้ รวมทั้งเรื่องของงบประมาณอีกด้วย ฟังก์ชั่นการกรองสินค้าจะทำให้ลูกค้าค้นพบสินค้าที่ต้องการได้ง่ายขึ้น

เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของ Klit มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 76% เมื่อพวกเขาได้ทำการเพิ่มตัวกรอกสินค้าลงไปในเว็บไซต์ในหน้าหมวดหมู่สินค้า

ให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้โดยไม่ต้องสร้างบัญชี

การลงทะเบียนหรือการสร้างบัญชีในการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้า อาจจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้คุณสูยเสียหลายได้ ลดโอกาสในการขายสินค้าได้

ดังนั้นแนะนำว่าการชำระเงินจะต้องไม่บังคับให้ผู้ซื้อสร้างบัญชี ซึ่งจากการศึกษาพบว่าผู้คนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 26 จะไม่ซื้อสินค้าหรือบริการใด ๆ ที่ต้องถูกบังคับให้สร้างบัญชี และลงทะเบียนในการซื้อสินค้านั้น ๆ 

ใช้ป็อบอัพแสดงส่วนลด

คุณต้องสร้างส่วนลดให้อยู่ในรูปแบบของป็อบอัพบนเว็บไซต์ เพื่อแลกคอนแทคอีเมลของลูกค้า นอกจากนั้นยังทำให้ลูกค้ามองเห็นว่าสินค้ากำลังลดราคาอยู่ กระตุ้นความต้องการในการซื้อสินค้าจากคุณได้

ใช้รูปภาพของผลิตภัณฑ์ในการโต้ตอบกับลูกค้า

Interactive image นั้น เปรียบเสมือนกับประสบการณ์การช็อปปิ้งในร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ การใช้รูปภาพในการโต้ตอบกับลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมจะช่วยเพิ่มยอดขายได้มากถึง 51% 

เพิ่มสัญลักษณ์ความน่าเชื่อถือ

การศึกษาที่รวบรวมมา พบว่าการแสดงสัญลักาณ์ความน่าเชื่อถือ เช่น โลโก้ ไอคอนที่แสดงความปลอดภัย หรือแสดงให้เห็นถึงองค์กร บริษัท สมาคมต่าง ๆ ที่คุณมีคอนเนคชั่นอยู่ จะช่วยเพิ่มค่า Conversion ได้เป็นอย่างดี เเละลูกค้าจะมั่นใจในการเลือกซื้อสินค้าและบริการจากคุณ

เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์สำหรับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ

หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ แต่ยังไม่ได้เพิ่มสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้เหมาะสมต่อการใช้งานบนอุปกรณ์ไอทีเคลื่อนที่ อย่างโทรศัพท์มือถือ แฃะแท็บเล็ต คุณต้องรีบปรับปรุงให้โดยด่วน เพราะปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่เน้นการใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านทางโทรศัพท์มือถือกันทั้งสิ้น

ตัวอย่างเช่น

ProFlowers มีค่า Conversion Rate ที่สูงขึ้น 20-30% เป็นผลเนื่องจากการปรับปรุงให้เว็บไซต์ของพวกเขานั้นสามารถเข้าใช้งานบนมือถือได้ง่ายขึ้น

ปรับหน้าเพจสินค้า และหมวดหมู่สินค้าให้สามารถโหลดได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

เว็บไซต์ Amazon เคยรายงานไว้ว่าความล่าช้าในการโหลดเว็บไซต์เพียงแค่ 1 วินาที อาจทำให้ยอดขายต่อปัลดลงได้มากถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ยอดขายตก คุณต้องปรับให้เว็บไซต์ของคุณมีการโหลดที่รวดเร็วทันใจลูกค้า

ดังนัั้นไม่ว่าคุณจะใ้ช้งานเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซบน Shopify หรือ BigCommerce อะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือหน้าเว็บของคุณจะต้องโหลดให้ได้รวดเร็วที่สุด ซึ่งนี่คือคำเเนะนำสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพของ PageSpeed  

ซ่อน Coupon Field ของคุณ

เมื่อคุณเห็นช่องคูปองในหน้าชำระเงิน คุณจะต้องทำอย่างไร? แนะนำให้ไปที่ Google และค้นหารหัสคูปองทันที!

และคุณอาจจะไม่มีวันกลับไปที่หน้าชำระเงินนั้นอีกถูกต้องไหม ดังนั้นการลบหรือการซ่อนในส่วนของคูปองจะช่วยให้ลูกค้าไม่ยกเลิกสินค้า หรือทิ้งตะกร้าสินค้าออกไปโดยไม่มีวันหวนกลับคืนมา และนี่คือตัวอย่าง 

แสดงให้ลูกค้าทุกคนเห็นว่าผลิตภัณฑ์ของคุณนั้นดีจริง 

นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์แล้ว สิ่งที่ควรทำต่อมาก็คือการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ของคุณกับคู่แขาง เพื่อให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ของคุณดีกว่าอย่างไร โดยการเปรียบเทียบนี้จะทำให้ผู้คนตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วว่าควรเลือกสินค้าของคุณมากกว่าสินค้าของคู่แข่ง

ทดสอบราคาที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มรายได้สูงสุด

นอกจากการปรับปรุงออกแบบเว็บไซต์เพื่อให้มีค่า Conversion Rate ที่เพิ่มขึ้นแล้ว คุณสามารถที่จะลดหรือเพิ่มราคาสินค้าเพื่อเพิ่ม Conversion ได้เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ชัดเจนว่าสินค้าที่มีราคาต่ำกว่าจะมีค่า Conveersion ที่สูงกว่าสินค้าที่มีราคาสูง แต่อาจจะส่งผลเสียต่อผลกำไรได้ จึงอยากแนะนำว่าถ้าในกรณีนี้ให้หาราคาที่พอดี ที่สามารถเพิ่มนายได้สูงสุด และทำให้เว็บไซต์มีค่า Conversion Rate ที่ดี

แสดงจำนวนสินค้าในรถเข็นของคุณ

สำหรับลูกค้าที่ซื้อของเป็นจำนวนมาก อาจจะลืมได้ว่าพวกเขาซื้อของไปเท่าไหร่แล้ว จำนวนกี่ชิ้น คุณสามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ด้วยการออกแบบให้ตระกร้าสินค้าสามารถแสดงได้ว่ามีสินค้ากี่รายการในตระกร้า

นี่คือตัวอย่างจาก Keurig:

บทที่ 7 วิธีการสร้าง Irresistible CTAs ที่ได้ผล

การสร้าง Call To Action (CTAs) สามารถเพิ่มและลดค่า Conversion ของเว็บไซต์ได้ หากคุณใช้ในรูปแบบที่ผิด จะทำให้ผู้เยี่ยใชมอาจปฏิเสธสินค้าของคุณได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามคุณสามารถใช้ Call To Action ถูกวิธี และน่าสนใจ กระตุ้นลูกค้าได้ก็จะมีผู้ที่เข้ามาซื้อสินค้าในเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก ดังนั้นบทนี้จะพูดภุงกลยุทธ์ง่าย ๆ แต่ใช้ได้ผลอย่างแน่นอน สำหรับการสร้าง Call To Action ที่ทรงพลัง

ตรวจสอบสำเนาของบุคคลที่หนึ่งและสองใน CTA ของคุณ

กรณีศึกษาของการเพิ่มประสิทธิภาพ Coversion Rate หลายกรณี แสดงให้เห็นว่าการใช้ CTA ขึ้นอยู่กับบุคคลแต่ละกลุ่ม ลูกค้าจะมีการตอบสนองต่อคำหรือข้อความที่ใช้ในกระตุ้นแตกต่างกันไป

เข้าไปที่ Loss Aversion

“Loss Aversion” เป็นตัวกระตุ้นทางด้านจิตวิทยาที่ทรงพลังมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “การหยุดโอกาสในการสูญเสียลูกค้า” น่าเชื่อถือกว่า “การรับลูกค้าเพิ่ม”

และการวิจัยพบว่าผู้คนมีแรงจูงใจในการหลีกเลี่ยงการสูญเสียมากกว่าที่จะได้รับสิ่งใหม่ ๆ นั่นเอง 

เพิ่มตัวนับเวลาถอยหลังให้กับข้อเสนอที่คำนึงถึงเวลา

การใช้นาฬิกาจับเวลาถอนหลังเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุด สำหรับการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็วขึ้น ซึ่งในกรณีศึกษาของ ConversionXL นี้ Marcus Taylor เห็นว่า Conversion เพิ่มขึ้น 332% ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มตัวนับเวลาถอยหลังในหน้า Landing Page บนเว็บไซต์

Bonus Chapter เทคนิคขั้นสูง เเละข้อปฏิบัติที่ดีที่สุดในการทำ Conversion Rate

จากบทที่ผ่านมาทั้งหมดนั้น เป็นเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น ต่อมาก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องมาเรียนรู้เทคนิคขั้นสูง และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของการเพิ่มประสิทธิภาพ Conversion Rate ให้ได้ผลที่ดีที่สุด และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ทดสอบจุดอ่อนที่สุดในเว็บไซต์ของคุณ

สมมติว่าหากคุณมีกรวยการตลาด (Funnel) ที่ใช้ในการศึกษา และสรุปพฤติการรมของผู้ใช้งานทั้งหมด 7 ขั้นตอน คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าขั้นตอนใดที่ควรมีการเพิ่มประสิทธิภาพก่อน 

ซึ่งคนส่วนใหญ่มักตะให้ความสำคัญกับจุดเริ่มต้นก็คือในส่วนของหน้า Landing Page หรืออาจจะเป็นหน้าสุดท้ายของเว็บไซต์อย่างเช่นหน้าชำระเงิน ดังนั้นสำหรับการโฟกัสจุดอ่อนว่าควรแก้อะไรบ้าง แนะนำว่าต้องมุ่งเน้นไปที่คอขวดของกรวยการตลาดแทน ซึ่งขั้นแรกในการทำคือการร่างแต่ละขั้นตอนของกรวยการตลาดออกมา จากนั้นใช้ Google Analytics เพื่อวัดอัตราของค่า Conversion ในแต่ละขั้นตอน ไปจนถึงขั้นสุดท้าย หลังจากนั้นให้ตัดขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพการทำงานต่ำที่สุดออกไป เพื่อให้กรวยการตลาดของคุณไร้จุดอ่อน

สร้าง Micro-Commitment

Micro-Commitment หรือข้อผูกมัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้ผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์สนใจในสินค้าและบริการของคุณมากขึ้น ซึ่งการสร้างข้อผูกมัดนี้สามารถทำได้สองวิธีได้แก่

ขั้นที่ 1 สร้าง Micro-commitment เอาไว้ด้านบนในหน้าเว็บเพจที่เป็นหน้าขายของ เช่น การเสนอทดลองใช้งานฟรี หรือเป็นสมาชิกรายเดือนแทนที่จะสร้างเงื่อนไขข้อผูกมัดขนาดใหญ่อย่างแผนการใช้บริการรายปีที่ราคาค่อนข้างแพง

ขั้นที่ 2 เน้นย้ำถึงจ้อผูกมัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในส่วนของหน้าสำเนาการขาย เช่น การสร้าง Call To Action ระหว่างคำว่า “ดูตัวอย่าง” จะฟังดูเฉย ๆ มีความมุ่งมั่นน้อยกว่าคำว่า “ขอใบเสนอราคาฟรี” ถึงแม้ว่าประโยคทั้งสองนี้ จะเป็นประโยคที่สื่อสารไปในทิศทางเดียวกัน

CrazyEgg ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาก จากการใช้เทคนิคที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ซึ่งแทนที่จะแนะนำให้ลูกค้าสมัครใช้งานซอฟต์แวร์ แต่เปลี่ยนแนะนำให้ลูกค้าเข้ามาทดลองใช้งานซอฟต์แวร์แทน

เลือกการโต้ตอบที่คุณไม่เห็นด้วยกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา

จงอย่ากลัวที่จะแสดงคำคัดค้านของคุณต่อลูกค้า ซึ่งแนะนำว่าคุณควรจะโต้ตอบโดยตรงเลย

คำคัดค้านมีอะไรบ้างที่คุณต้องโต้ตอบ

  • ทำไมฉันต้องเชื่อคุณ
  • เพราะเหตุใดทำไมถึงไม่ได้ผล
  • รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเงิน
  • สามารถเปรียบเทียบสินค้าและบริการนี้กับ……..?

ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้ใช้งานเว็บไซต์

สำหรับหน้าการขายผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีความซับซ้อน และเป็นสินค้าราคาแพง จะต้องมีการให้ข้อมูลที่เยอะมากขึ้นในการอธิบายให้กับลูกค้า 

คุณอาจจะเคยเห็นหน้าการขายคอร์สออนไลน์ที่ยาวมาก ๆ ผู้คนอาจจะสงสัยว่าทำไมมันยาวจังเลย แล้วจะดีจริงหรือไม่ เพราะผู้คนจำนวนมากต้องการคำโน้มน้าวใจในการเลือกลงทุนซื้อคอร์สออนไลน์เหล่านี้ ดังนั้นหากคุณมีผลิตภัณฑ์หรือบริการราคาแพง ต้องให้คำอธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ลึกขึ้น 

สร้างหน้า “About Us” บนเว็บไซต์เพื่อบ่งบอกข้อมูลเกี่ยวกับคุณ

ในเว็บไซต์หน้า “About Us” คือหนึ่งในหน้าที่มีผู้เข้าชมมาที่สุด 5 อันดับแรกของคุณ ดังนั้นอย่าเสียโอกาสในการแสดงให้ผู้คนเห็นว่าบริษัทของคุณนั้นมีดีอะไร เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง เพื่อแสดงตัวตน และจุดประสงค์ของการสร้างเว็บไซต์ ธุรกิจ หรือบริษัทของคุณ 

ตัวอย่างเช่น

Wistia’s About Page ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่ทำในองค์กรว่ามีใครบ้าง และทำหน้าที่ในตำแหน่งอะไร

จุดเด่นของภาพนี้อยู่ที่ไหนนะเหรอ ลองดูสิว่าพนักงานทุกคนทำท่าทางแบบสบาย ๆ ไม่ต้องทำตัวแข็งทื่อหน้าตรง

ต้องใช้สถิติและตัวเลขที่จำเพาะ

หากคุณต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์หรือเอกสารออนไลน์ของคุณหรือไม่ ถ้าอยากเพิ่มความมั่นใจ และน่าเชื่อถือแก่ลูกค้า จะต้องใช้สถิติและตัวเลขเป็นองค์ประกอบด้วย 

ตัวอย่างเช่น

ซึ่งจะเห็นได้ว่าประโยค “ทำงานได้ดีกว่า 52%” เทียบกับประโยคที่ว่า “มีประสิทธิภาพมากกว่า” การใช้ร้อยละที่เป็นค่าสภิตินั้นมีความน่าเชื่อถือมากกว่า

นี่คือตัวอย่างจาก Unbounce:

ต้องทดสอบในส่วนของ Live Chat Support

Live Chat เป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ สำหรับการทำเว็บไซต์ ซึ่งจากการศึกษาของ Zendesk รายงานว่า 92% ของลูกค้าจะมีความพึงพอใจมากหลังจากที่ใช้ Live Chat

เคล็ดลับสำหรับมือโปร: หากคุณได้อ่านบันทึก Live Chat เเล้ว คุณจะพบคำถามเดิม ๆ ประมาณ 5-10 ข้อ ปรากฏในแชทซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นคุณจำเป็นต้องตอบคำถามยอดนิยมเหล่านี้เอาไว้ที่หน้า Landing Page หรือถ้าจะให้ดีควรเพิ่มในหน้าคำถามที่พบบ่อย หรือ “FAQ”

มีระบบป้อนข้อมูลอัตโนมัติเมื่อชำระเงิน

ระบบนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และประหยัดเวลาไม่ต้องมากรอกข้อมูลในหน้าชำระเงิน ตัวอย่างเช่น คุณต้องมีระบบที่ใช้ในการดึงข้อมูลเมือง และประเทศของลูกค้าจากรหัสไปรษณีย์โดยอัตโนมัติ ซึ่งกลยุทธ์นี้สามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้ดีมาก โดยเฉพาะการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างโทรศัพท์มือถือนั่นเอง

สร้าง Landing Page เพิ่มเติม

จากข้อมูลของ Hubspot บริษัทที่มีหน้า Landing Page มากกว่า 10 หน้า สามารถสร้างโอกาสในการขายมากกว่าบริษัทที่มีหน้า Landing Page น้อยกว่า 5 หน้า ถึง 555 เลยทีเดียว

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

เนื่องจากว่า Landing Page มากขึ้น ก็เปรียบเสมือนมีข้อเสนอเพิ่มขึ้น และไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถสร้างหน้านี้ให้เจาะจงต่อบุคคลแต่ละกลุ่มได้อีกด้วย

นอกจากนั้นการที่มีหน้า Landing Page mี่มากขึ้นสามารถเพิ่มปริมาณการเข้าชมที่เป็นไปได้มากขึ้นจากการค้นหาบน Google แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีข้อควรระวังอยู่ซึ่งก็คือคุณไม่สามารถรับข้อเสนอเดียวกัน และสร้างหน้าเพจ 30 เวอร์ชันที่แตกต่างกันได้ เพราะอาจจะเกิดเนื้อหาที่ซ้ำกัน

ดังนั้นการที่จะสร้างหน้า Landing Page ไม่ให้ซ้ำกันจะต้องมีข้อมูล รูปภาพท และ CTA ที่แตกต่างกันไป

สนับสนุนให้ลูกค้ามีการแบ่งปันการซื้อของพวกเขา

คุณต้องกระตุ้นให้ผู้ใช้แบ่งปันสิ่งที่พวกเขาพึ่งซื้อบน Facebook และ Instagram สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงจะทำให้คุณมียอดขายเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังสามารถเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ของคุณอีกด้วย

ตัวอย่างเช่น

EventBrite เริ่มกระตุ้นให้ลูกค้าแชร์ตั๋วบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งพวกเขาพบว่าผลตอบแทนเฉลี่ยจากการแชร์ทำให้มีรายได้จากการแชร์บน Facebook 4.15 ดอลลาร์ต่อแชร์โพสต์ และ 1.85 ดอลลาร์ต่อแชร์โพสต์สำหรับการแชร์บน Twitter

สรุป

ตอนนี้ถึงตาคุณแล้วที่จะต้องลงมือทำ เราหวังว่าคุณจะชอบคำแนะนำและเทคนิคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพ Conversion Rate (CRO) ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการออกแบบปรับเปลี่ยนในส่วนของหน้า Landing Page หรือการทดสอบ A/B test หากใครที่พร้อมแล้วสามารถทำตามคำแนะนำของเราได้เลย รับรองว่า Conversion Rate ต้องสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว พร้อมทั้งยังเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการบนเว็บไซต์ได้อีกด้วย

สวัสดีค่ะทุกคน ชื่อหมูนะคะ เราเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบงานเขียนมาก ๆ ค่ะ เพราะงานเขียนเปรียบเสมือนกับการสร้างโลกในจินตนาการของเราขึ้นมา โลกใบนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสนุกสนาน เเละความรู้มากมายที่เราสามารถผจญภัยไปได้เเบบไม่มีลิมิต มาท่องโลกของตัวหนังสือไปพร้อมกันนะคะ