คู่มือแนะนำสำหรับ Copywriter พร้อมเทคนิค อัพเดทใหม่ล่าสุดปี 2023

นี่คือคู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับ Copywriter ในปี 2023 ดังนั้นหากคุณอยากพัฒนาตัวเองให้ดีกว่า เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าชม เจาะกลุ่มเป้าหมาย เเละมียอดขายสูงขึ้น จะต้องอ่านบทความนี้ให้ได้เลยหละ

ตารางสารบัญเนื้อหาบทความ

บทที่ 1 เรียนรู้เทคนิคพื้นฐานของการเขียนคำโฆษณา

บทที่ 2 เทคนิคเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

บทที่ 3 กลยุทธ์การเขียนคำโฆษณาระดับมืออาชีพ

บทที่ 4 วิธีการเขียน Headline อย่างไรให้น่าสนใจ

บทที่ 5 วิธีสร้างโอกาสในการขายสำหรับกลุ่มเป้าหมาย

บทที่ 6 วิธีการเขียนคำโฆษณาอย่างไรให้น่าสนใจ

บทที่ 7 สูตรสำเร็จวิธีการเขียนโฆษณาที่เป็นที่ยอมรับในวงการ Copywriter

บทที่ 8 กลยุทธ์การเขียนคำโฆษณาขั้นสูง

บทที่ 1 เรียนรู้เทคนิคพื้นฐานของการเขียนคำโฆษณา

Copywriting คืออะไร

การเขียนคำโฆษณา (Copywriting) คือ การเขียนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ หรือการโน้มน้าวใจผู้คนให้คล้อยตามกับสิ่งที่คุณต้องการสื่อสาร โดยปกติแล้วการเขียนคำโฆษณาจะใช้ในการเพิ่มยอดขายและคอนเวอร์ชั่น ซึ่งการเขียนคำโฆษณามักจะพบในโฆษณา โซเชียลมีเดีย บล็อกโพสต์ หรืออีเมลขายสินค้า เป็นต้น

การเขียนคำโฆษณามีความสำคัญอย่างไร

สำหรับการเขียนคำโฆษณา (Copywriting) มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยสิ่งที่คุณจะได้รับจากการเขียนคำโฆษณานั้นมีหลายประการ ดังนี้

  • ส่งผลให้มี Conversion Rate ที่สูงขึ้น
  • ช่วยปรับปรุงโครงสร้าง เเละทำให้บทความข้อคุณอ่านเเล้วลื่นไหล เข้าใจง่าย
  • การเขียนคำโฆษณาทำให้คอนเทนต์ของคุณเข้าถึงโซเชียลมีเดียมากขึ้น 
  • มีผู้คนสนใจเเละเเบ่งปันเนื้อหาคอนเทนต์ของคุณมากขึ้น
  • การเขียนคำโฆษณาจะช่วยให้คุณเข้าถึงความต้องของลูกค้ามากขึ้น

กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่าการเขียนคำโฆษณานั้น จะช่วยในการปรับปรุงองค์ประกอบด้านการตลาดของคุณ เพื่อให้เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้า เเละช่วยให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยการเขียนคำโฆษณาสามารถสอดเเทรกเข้าไปในสื่อที่หลากหลาย ดังนี้

  • Video Scripts
  • Blog Post Headlines
  • Webpage Meta Descriptions
  • Outreach Emails
  • YouTube Video Descriptions
  • Podcast Descriptions
  • Interview Questions
  • Facebook Posts
  • Press Releases
  • About Page Copy
Copywriter

อาชีพ Copywriter ต้องทำอะไรบ้าง

หลายคนอาจจะคิดว่าการเป็น Copywriter มีหน้าที่เพียงแค่การเขียนคอนเทนต์โฆษณาเท่านั้น แต่จริงเเล้วอาชีพนี้มีหลากหลายอย่างให้ทำ โดย Copywriter จะต้องใช้เวลาอย่างมากในการเรียนรู้เกี่ยวกับกลุ่มลูกค้าว่าลูกค้ามีพฤติกรรมเเบบใด ชื่นชอบรูปแบบสินค้าบริการเเบบไหน เเละ Copywriter ยังต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าและบริการให้ละเอียดลึกซึ้ง เพื่อที่จะสามารถเขียนคำโฆษณาออกมาให้ตรงกับจุดประสงค์ เเละสามารถเพิ่มโอกาสขายให้มากขึ้น

นอกจากนั้น Copywriter ต้องมองจุดเด่น จุดด้อยของสินค้า หรือการบริการได้อย่างละเอียด เพื่อเปรียบเทียบกับคู่เเข่งที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน เพื่อให้การเขียนคำโฆษณาชูจุดขายของสินค้าได้ดีที่สุด สรุปโดยรวมว่าการเป็น Copywriter งานของคุณคือการเรียนรู้เกี่ยวกับความคิด ความต้องการของลูกค้า เเละกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำสิ่งที่ศึกษามาเขียนคำโฆษณาให้สมบูรณ์เเบบมากที่สุด และสามารถโน้มน้าวผู้คนให้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าเเละบริการของคุณ

ทำอย่างไรให้ได้เป็น Copywriter

การเป็น Copywriter ไม่ใช่เรื่องยาก เเต่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ซึ่งหากคุณอยากจะเป็น Copywriter ทักษะสำคัญที่คุณควรจะต้องเรียนรู้ มีดังต่อไปนี้

  • Customer Research : การวิจัยกลุ่มลูกค้า
  • Sentence Structure : การสร้างโครงสร้างประโยค
  • Web Copywriting : การเขียนคำโฆษณาสำหรับเว็บไซต์
  • Grammar and spelling : ไวยากรณและการสะกดคำ
  • Persuasion : ทักษะการโน้มน้าวใจ
  • Content Structure : การสร้างโครงสร้างเนื้อหา
  • Online Advertising : การทำโฆษณาออนไลน์

ซึ่งทั้งหมดนี้คือทักษะเเละสิ่งที่ Copywriter ควรต้องมี

การจะเป็น Copywriter ที่ดีนั้นต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจอย่างมากคือเรื่องของการตลาด จะทำอย่างไรให้ธุรกิจเป็นที่รู้จัก เเละเพิ่มโอกาสในการขายให้สูงขึ้น ซึ่งจากข้อมูลของ National Association of Colleges and Employers ระบุว่า 80.3% ของนายจ้างต้องการจ้างคนที่มีทักษะการเขียนที่แข็งแกร่ง 

และถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก คุณต้องเอาใจใส่ในเรื่องของการเขียนคำโฆษณาให้มาก ๆ เพราะการเขียนคำโฆษณาจะช่วยปรับปรุงระบบการตลาดให้ดีขึ้น ขยายธุรกิจของคุณให้ใหญ่ เป็นที่รู้จักวงกว้าง เเละประสบความสำเร็จได้

บทที่ 2 เทคนิคเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

การเขียนคำโฆษณาจะต้องเขียนไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ามองเห็นว่า “ผลิตภัณฑ์นี้เหมาะกับฉัน!” เเต่จะทำได้อย่างไร วันนี้เรามีกลยุทธ์ 5 วิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้จากการเขียนคำโฆษณา

การเขียนกระทู้บน Reddit

หากคุณต้องการเขียนคำโฆษณาตามความต้องการของลูกค้า สามารถเขียนกระทู้ลงได้ใน Reddit เป็นเเพลตฟอร์มที่คุณต้องคำนึงถึง โดยให้ไปที่ subreddit ซึ่งจะมีกลุ่มลูกค้าของคุณอยู่ในนั้น

จากนั้นให้ดูที่หัวข้อล่าสุด ซึ่งจะเป็นหัวข้อที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้

ตัวอย่างเช่น หากคุณพึ่งเปิดตัว Paleo Diet Bar ให้คุณไปที่ subreddit ของ Paleo เเละค้นหาคำว่า “bars”

และดูรูปแบบภาษาที่ผู้คนใช้ เพื่ออธิบายในสิ่งที่พวกเขานั้นชื่นชอบ หรือสิ่งที่พวกเขานั้นไม่ชอบ 

คุณสามารถเขียนคำโฆษณาโดยใช้ภาษาในรูปเเบบที่กลุ่มลูกค้าใช้กันบน Reddit ซึ่งคุณสามารถเอาไปปรับเขียนในหน้า Landing Page ในอีเมล หรือโฆษณาบน Facebook

รีวิวใน Amazin Reviews

ผู้คนกล้าที่จะเขียนรีวิวตรงไปตรงมาใน Amazon แบบที่ไม่มีการลังเลใด ๆ 

อุ๊ย…รีวิวค่อนข้างที่จะตรงไปตรงมาเลยทีเดียว ซึ่งคุณสามารถจะรีวิวเหล่านี้ได้จากอเมซอนรีวิว เเละนำข้อมูลไปเขียนคำโฆษณาได้

ตัวอย่างเช่น รีวิวเกี่ยวกับโต๊ะ ซึ่งเป็นการรีวิวที่ละเอียดมาก

ซึ่งหากคุณกำลังขายสินค้าเกี่ยวกับโต๊ะ คุณต้องอ่านรีวิวเหล่านี้

นอกจากนั้นคุณยังสามารถหารีวิวของ Amazon ได้ ถึงแม้ว่าคุณไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ ตัวอย่างเช่น บทวิจารณ์เกี่ยวกับหนังสือยอดนิยมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ SEO ใน Amazon

และนี่เป็นรีวิวที่ดีบน Amazon Review

การเจาะกลุ่มเป้าหมายของ Copywriter แนะนำว่าจะต้องดูรีวิวของลูกค้าที่สามารถพบเจอบนเเพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อจะได้ทำความเข้าใจความต้องการของกลุ่มลูกค้า

แบบสำรวจลูกค้า

แบบสำรวจลูกค้านั้นมีประโยชน์มาก ซึ่งจะช่วยให้คุณได้คำตอบต่าง ๆ จากลูกค้า โดยเป็นคำตอบที่เจ้าของธุรกิจต้องการทราบเพื่อปรับปรุง พัฒนาสินค้าเเละการบริการให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งคำถามที่มักพบบ่อยมีดังนี้

  • ทำไมคุณถึงตัดสินใจซื้อสินค้านี้
  • เหตุผลอะไรทำไมคุณคิดว่าสินค้านี้เหมาะสำหรับคุณ
  • คุณเคยลองแบรนด์ หรือสินค้าอะไรมาก่อนบ้าง
  • คุณมีประสบการณ์อย่างไรกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เคยลองใช้

ถึงแม้คำถามเหล่านี้จะเป็นคำถามทั่วไปที่อาจไม่ไ้ด้มีผลต่อการสำรวจลูกค้ามากนัก เเต่จะช่วยให้คุณเขียนคำโฆษณาได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ และนี่ก็คือตัวอย่างคำตอบที่ได้จากการสำรวจลูกค้า

นอกจากนั้นแบบสอบถามลูกค้าคุณยังสามารถถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้

  • ข้อมูลอายุ และข้อมูลประชากร
  • พฤติกรรมการใช้จ่าย เเละการบริโภค
  • ความท้าทายทางด้านธุรกิจ

 เช่นตัวอย่างการสอบถามข้อมูลทางด้านธุรกิจ ดังภาพด้านล่างนี้

การสัมภาษณ์ลูกค้า

สำหรับการสัมภาษณ์ลูกค้านั้น เป็นเหมือนการสำรวจความต้องการของลูกค้า หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่คุณต้องการทราบจากลูกค้า 

ตัวอย่างเช่น เมื่อไม่นานมานี้เราได้สัมภาษณ์ลูกค้าสามคนผ่านทาง Skype ซึ่งพวกเขาได้เข้ามาเรียนคอร์สโปรเเกรมของฉัน เเละพึ่งจบคอร์สไปเป็นที่เรียบร้อย

และฉันก็ได้ถามคำถามมากมายเพื่อติดตามผลลัพธ์ ตัวอย่างเช่น

  • อะไรคือความท้าทายมากที่สุดสำหรับการทำ SEO
  • ปริมาณการค้นหาจากเครื่องมือการค้นหาเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือไม่
  • คุณเคยเข้าคอร์สเรียน SEO มาก่อนหรือไม่ เเละดีหรือเปล่า รู้สึกอย่างไรบ้าง

การติดตามผลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าลูกค้ารู้สึกอย่างไร เเละเป็นอย่างไรบางจากการเข้ามาใช้บริการ หรือซื้อสินค้าของคุณ

นี่คือตัวอย่าง

Social Media

นี่คือขั้นตอนการทำงานบนโซเชียลมีเดีย โดยขั้นตอนแรกคือการค้นหาผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งบนเเพลตฟอร์ม Twitter ซึ่งเป็นสื่อโซเชียลที่มีผู้ใช้งานทั่วโลก

จากนั้นให้สำรวจดูข้อบกพร่อง หรือจุดด้อยของคู่แข่ง ที่ถูกวิจารณ์โดยกลุ่มลูกค้า

ซึ่งจะช่วยให้คุณทราบว่า คุณต้องปรับปรุงหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านใดบ้าง เเละเขียนคำโฆษณาได้ตรงเทรนด์ หรือความต้องการของลูกค้า

แพลตฟอร์ม Product Hunt

คุณสามารถใช้การสนทนาใน Product Hunt ซึ่งเป็นเเพลตฟอร์มรวบรวมแอพ เครื่องมือ และผลิตภัณฑ์ต่างๆ บนโลกออนไลน์แยกเป็นหลากหลายหมวดในชีวิตประจำวัน เพื่อเรียนรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณกล่าวถึงธุรกิจ หรือสินค้าบริการในเเวดวงของคุณอย่างไรบ้าง

เเละนี่เป็นคำต่าง ๆ ที่ผู้คนใช้ในการอธิบายปัญหาที่พวกเขาพบเจอ

ซึ่งคุณสามารถสร้างหน้า Landing Page ให้เหมาะสมกับข้อกำหนดเหล่านั้น

ถึงเวลาที่จะไปเรียนรู้กันต่อในบทที่ 3 แล้ว

บทที่ 3 กลยุทธ์การเขียนคำโฆษณาระดับมืออาชีพ

มาถึงบทที่ 3 กันแล้ว ซึ่งบทนี้จะกล่าวถึงกลยุทธ์การเขียนคำโฆษณาแบบมือโปรทั้งหมด 7 วิธี ดังนั้นหากคุณต้องการเคล็ดลับเเละเทคนิคดี ๆ ในการเขียนคำโฆษณาต้องอ่านเเละทำความเข้าใจในบทนี้กันเลย

ทฤษฎี Slippery Slide 

เป้าหมายอันดับ 1 ของการเขียนคำโฆษณา คือ ต้องดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาอ่าน หรืออย่างที่ Joe Sugarman หนึ่งใน Copywriter ที่ประสบความสำเร็จได้กล่าวไว้ว่า “เป้าหมายเดียวของประโยคเเรกในการเขียนคำโฆษณา คือ เพื่อให้ผู้คนอ่านประโยคที่สอง” เเละเขายังกล่าวอีกว่าสำหรับเรานั้นสิ่งที่นักเขียนคำโฆษณาต้องรู้จักคือคำว่า “Slippery Slide”

และนี่ก็คือโครงสร้างในการเขียนคำโฆษณาในรูปเเบบทฤษฏี Slippery Slide” 

เขียนสตอรี่เล็กน้อย ๆ ลงไปเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ

และเข้าสู่ประเด็นสำคัญ

ทำความรู้จัก “AIDA” Formula

AIDA เป็นสูตรสำหรับการเขียนคำโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมาก ซึ่งใช้สำหรับสิ่งต่อไปนี้

  • Sales pages
  • Squeeze pages
  • Blog post intros
  • Email newsletters
  • Video scripts

และอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถใช้ AIDA ได้

ซึ่งคำว่า AIDA นั้นย่อมาจาก

A = Attention (ความสนใน)

I  = Interest (ความสนใจ)

D = Desire (ความต้องการ)

A = Action (การกระทำ)

และนี่ตัวอย่างที่ได้ใช้สูตร AIDA จริง ๆ สำหรับหน้า Landing Page ของเว็บไซต์เรา

สิ่งแรกที่ทำในหน้านี้คือการดึงดูดความสนใจ (Attention) ในการเขียนประโยคที่น่าสนใจบรรทัดแรกของเนื้อหา

ซึ่งต่อมาเราก็จะเขียนด้วยคำที่เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้อ่าน

และเราก็จะกล่าวถึงความต้องการของผู้อ่านทุกคน เช่นในบทความนี้ผู้อ่านทุกคนที่เข้ามา มีความต้องการ (Desire) ที่จะให้เว็บเพจติดอันดับสูง ๆ บน Google

และปิดท้ายด้วยคำ หรือประโยคที่กระตุ้น (Call to action) ผู้อ่านให้อ่านเลื่อนอ่านบทความของเราจนจบ

เน้นประโยชน์มากกว่ารูปแบบของฟีเจอร์

ถึงแม้ว่าฟีเจอร์จะเป็นสิ่งที่ทำให้เว็บไซต์ดูดี แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะขายได้ก็คือประโยชน์มากกว่าความสวยงาม

ตัวอย่างเช่น

หากคุณพึ่งได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ตัวใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้คนทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เเละนี่ก็คือวิธีที่คุณสามารถเปลี่ยนฟีเจอร์ธรรมดาที่สุดแสนน่าเบื่อให้มีประโยชน์ที่หลากหลาย เเละสามารถจับต้องได้

และนี่คือหน้าผลิตภัณฑ์ของ CoSchedule ที่สามารถสร้างฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มาก ๆ ออกมาได้ดี

ซึ่งจะเห็นได้ว่าฟีเจอร์มีคุณสมบัติที่หลากหลาย

จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปทางด้านการใช้งาน และประโยชน์

มันสุดยอดมากเลยจริง ๆ 

Call To Action (CTAs) ที่เยี่ยมยอดและแข็งแกร่ง

การทำ CTA มีความสำคัญมาก เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เเละตัดสินใจซื้อสินค้าหรือการบริการจากคุณ เป็นการบอกเเนวทางให้กับพวกเขาว่าต้องทำอย่างไร

หน้าเพจนี้ใช้ CTA ที่รัดกุมและชัดเจนมาก เป็นการบอกผู้ใช้งานได้อย่างตรงตัว “ป้อนชื่อและอีเมลของคุณ เเล้วคลิกดาวน์โหลด Ebook ฟรี”

คำแนะนำ

ใช้ CTA ที่แข็งแกรง และมีความชัดเจน เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายที่อาจจะเป็นลูกค้าของคุณในอนาคตทำตามสิ่งที่คุณต้องการ

Social Proof จิตวิทยากับการตลาด

จากข้อมูลของ Nielsen Norman Group แสดงให้เห็นว่าผู้คนจะใช้ Social Proof ในการตัดสินใจเมื่อพวกเขาไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอะไรต่อไป โดย Socail Proof จะมีความสำคัญมากเมื่อมีคนตัดสินใจว่าจะซื้อสื่งที่คุณขายหรือไม่

จึงเป็นเหตุผลที่ Copywriter มืออาชีพ ต้องใส่ใจในเรื่องของ CTA ยกตัวอย่างเช่น Hotjar เเจ้งให้ผู้คนทราบว่ามีผู้ใช้งานถึง 900,000 ราย เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมองเห็นว่าเว็บไซต์ควรค่าแก่การใช้งาน 

และนี่ก็คือ CTA ของเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Exploding Topics

วิธีการแก้ปัญหา “Social Proof Paradox”

คุณจะต้องมีจิตวิทยาในการขายเพื่อที่จะได้เข้าถึงจิตวิทยาของผู้ซื้อ ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า “Social Proof Paradox” เเละมันเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมากสำหรับคุณ 

ตัวอย่างเช่นคุณกำลังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ที่สามารถใช้งานเวอร์ชันฟรีได้ กับมีเวอร์ชันที่ชำระเงิน ปรากฏว่ามีผู้ใช้งานไม่กี่คนเท่านั้นที่อัปเกรดใช้เวอร์ชันชำระเงิน แต่อย่างไรก็ตามคุณสามารถแสดงจำนวนผู้สมัครใช้งานทดลองฟรีของคุรได้

เเละคุณสามารถแสดงข้อมูลของลูกค้าที่ใช้งานเเล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 

ตัวอย่างเช่น เมื่อฉันเปิดหลักสูตรใหม่ที่เกี่ยวกับ YouTube SEO มีนักเรียนทั้งหมด 10 คน เเต่ทว่ามีเพียงเเค่ 4 คนเท่านั้นที่ได้รับยอดวิวบนยูทูปเพิ่มขึ้น  เราจึงตัดสินใจที่จะนำเสนอผลลัพธ์ของนักเรียนทั้ง 4 คนนี้ ในหน้าการขายบนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้คนมองเห็นว่าการตัดสินใจลงคอร์สกับเรานั้นคุ้มค่า

ต้องมี Unique Selling Proposition (USP)

ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้จักกับ Unique Selling Proposition (USP) คือ ความแตกต่างหรือจุดขายที่สินค้าหรือการบริการของเราทำได้ดีมากกว่าคู่แข่ง ซึ่งคุณต้องสามารถดึงจุดขายที่ไม่ซ้ำใครออกมาให้ได้ ต้องตอบคำถามให้ได้อย่าชัดเจนว่า “ทำไมลูกค้าควรซื้อของจากคุณ” ซึ่งสินค้าของคุณอาจจะราคาดีที่สุด คุ้มค่า จัดส่งเร็วกว่าใคร หรือมีผลลัพธ์ที่น่าทึ้งกว่าผู้อื่น 

ตัวอย่างเช่น

Warby Parker เป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเเว่นตา จุดเด่นของที่นี่คือการให้ลูกค้าสามารถนำเเว่นตาไปลองสวมใส่ก่อนได้ ถ้าไม่ชอบสามารถส่งคืนบริษัทได้

เป็นข้อเสนอขายที่น่าสนใจ เเละเเตกต่างจากบริษัทคู่เเข่ง

การให้ลูกค้าสามารถทดลองสินค้าได้ เเละหากไม่พอใจสามารถส่งคืนได้นั้น นับว่าเป็นขุดขายที่ค่อนข้างเเข็งแกร่งเลยทีเดียว

เทคนิคการจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าเเละบริการแบบรวดเร็ว ปิดดีลได้ทันที

คุณจะสามารถทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อทันทีได้อย่างไร วิธีการง่าย ๆ ในการจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจอย่างเร่งด่วนมีดังนี้

  • สร้างข้อเสนอที่จำกัดเวลา
  • จำกัดจำนวน
  • แสดงจำนวนให้เห็นว่าสินค้าเหลือน้อยมาก ต้องรีบตัดสินใจ
  • กำหนดเวลาโปรโมชั่นการขาย
  • ใช้คำกระตุ้น เช่น “อย่าพลาด” “สินค้ามีจำนวนจำกัด” เป็นต้น

คุณจำเป็นต้องใช้ข้อความเหล่านี้ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจให้เร็วขึ้นในการเลือกซื้อสินค้าและการบริการจากคุณ

ตัวอย่างเช่น

อีเมลด้านล่างนี้เป็นอีเมลเปิดตัวคอร์สใหม่ เเละเราทำการกำหนดเวลาที่ชัดเจนในการรับสมัครผู้ที่สนใจซื้อคอร์ส เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่สนใจรีบตัดสินซื้อคอร์สให้เร็วขึ้น

บทที่ 4 วิธีการเขียน Headline อย่างไรให้น่าสนใจ

คุณคงเคยได้ยินใช่ไหมว่าคนส่วนใหญ่มากถึง 80% อ่านหัวเรื่องเป็นอันดับเเรก และมีเพียงเเค่ 20% เท่านั้นที่จะอ่านเนื้อหาก่อนหัวข้อ

ดังนั้นการเขียนชื่อเรื่อง หรือ Headline เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เพระาฉะนั้นวันนี้เรามาดูเทคนิคง่าย ๆ ที่จะทำให้หัวข้อเรื่องของคุณนั้นน่าสนใจ และดึงดูดผู้คนมากยิ่งขึ้น

Headline ที่ดีต้องมีความเฉพาะเจาะจง

การสร้างหัวเรื่องหรือ Headline จะต้องเจาะจงกับเรื่องที่จะเขียน ซึ่งหัวเรื่องนั้นจะต้องสื่อให้กลุ่มเป้าหมายของคุณเจ้าใจถึงจุดประสงค์ของคุณ และสิ่งที่พวกเขาจะได้รับจากคุณ ตัวอย่างเช่น Headline ด้านล่างนี้ ซึ่งเปรียบเทียบหัวเรื่องที่ไม่จำเพาะเจาะจงมากพอ เเละหัวเรื่องที่มีความจำเพาะอ่านเเล้วกระชับทำความเข้าใจได้ง่าย

นี่คือตัวอย่าง Headline ที่ยังไม่เจาะจงมากพอ 

และนี่คือตัวอย่างของ Headline ที่เขียนได้ดีมาก เป็นประโยคสั้น ๆ เเต่สามารถสื่อความหมายได้ดีเเละจำเพาะเจาะจง

ต้องใช้ตัวเลขเป็นองค์ประกอบของ Headline

การเพิ่มตัวเลขลงไปใน Headline จะทำให้มีความจำเจาะจงมากขึ้นลองเปรียบเทียบระหว่าง Headline ที่มีตัวเลขและไม่มีตัวเลขดูสิ

เป็น Headline ที่อ่านแล้วดูธรรมดามาก ไม่โดดเด่น เเละมีการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนพอ

และนี่คือ Headline ที่มีตัวเลขมันดูน่าสนใจกว่า และเฉพาะเจาะจง ซึ่ง Moz ได้ทำการศึกษาและพบว่า Headline ที่เจาะจงและมีตัวเลขมีอัตราการคลิกเข้าชมมากกว่า Headline ที่เป็นหัวข้อธรรมดา หรือเป็นในเชิงคำถาม

ดังนั้นแนะนำว่าควรเพิ่มตัวเลขลงไปใน Headline รับประกันว่าอัตราการเข้าชมพุ่งสูงแน่นอน

การเขียน Headline ต้องใส่อารมณ์เข้าไปด้วย

เชื่อไหมว่า Headline ที่ดีที่สุดจะต้องอ่านเเล้วรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึก คุณสงสัยใช่ไหมว่าคุณจะสร้าง Headline แบบนี้ได้อย่างไร ไม่ยากเลยขั้นตอนแรกเพียงเเค่เพิ่มคำที่กระตุ้นอารมณ์ลงไป เช่น คลั่งไคล้, ตอนนี้, เร็ว, อย่าพลาด, ใหมม่ล่าสุด, สุดพิเศษ เเละสุดยอด เป็นต้น คำเหล่านี้อ่านเเล้วจะทำให้รู้สึกถึงอารมณ์ของผู้เขียน และยังทำให้ Headline นั้นน่าสนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

และขั้นที่สองก็คือนำ Headline ที่คุณเขียนนั้นไปวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือสุดเจ๋งอย่าง  American Marketing Institute Headline Analyzer

ซึ่งเครื่องมือนี้จะวิเคราะห์ว่า Headline ของคุณสมบูรณ์เเบบเเล้วหรือยัง โดยให้คะเเนนตั้งแต่ 0-100%

ซึ่ง Headline ของคุณต้องมีคะเเนนไม่ต่ำว่า 30% โดยเฉพาะอย่างนิงสำหรับ Sales Page เเละ Lamding Page ของเว็บไซต์

ต้องใช้ FOMO

คำว่า FOMO ย่อมาจาก Fear of missing out ซึ่งหมายถึง ภาวะที่ผู้คนกลัวการพลาด หรือตกแทรนด์อะไรบางอย่าง ดังนั้นคุณสามารถใช้สิ่งนี้มาเขียน Headline ได้ เนื่องจาก FOMO จะเข้าไปกระตุ้นอารมณ์ของกลุ่มเป้าหมายที่อาจจะเป็นลูกค้าของคุณได้ใในอนาคต

ตัวอย่างเช่น 

การพาดหัวโฆษณา บน Facebook ของเพจ HubSpot ที่ได้เขียนหัวข้อโดยมีคำจำกัดเวลาเข้าไปด้วย เพื่อให้ผู้คนที่อ่านทราบว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจ อาจจะไม่ทันโปรโมชั่นนี่เเล้ว เป็นการกระตุ้นผู้อ่านให้รีบตัดสินใจเร็วขึ้น

เทคนิค WIIFM

สำหรับ WIIFM เป็นเทคนิคระดับสูง สำหรับนักธุรกิจที่อยากประสบความสำเร็จ โดยคำนี้ย่อมาจาก What’s in it for me (แต่บางคนก็ใช้คำว่า What’s in it for them) แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “เขาจะได้รับประโยชน์อะไรจากสิ่งที่คุณมอบให้” ซึ่งสิ่งนี้มันควรมีใน Headline

ซึ่งคุณควรที่จะเขียน Headline ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า ว่าลูกค้าจะได้รับอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่นภาพด้านล่างนี้

แม้ว่าจะไม่ได้เป็น Headline ที่ดูหวือหวา เเต่เป็น Headline สามารถขยายธุรกิจของคุณใน Shopify ได้

บทที่ 5 วิธีสร้างโอกาสในการขายสำหรับกลุ่มเป้าหมาย

การสร้างโอกาสในการขายเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การสร้างโอกาสในการขายมีความสำคัญพอ ๆ กับ Headline เลยทีเดียว และบางครั้งอาจจะสำคัญกว่าด้วยซ้ำ 

เนื่องจากว่ากลุ่มเป้าหมายที่อาจจะพัฒนากลายเป็นลูกค้าของคุณได้ในอนาคต มักจะตัดสินใจจากการอ่านข้อความสองสามบรรทัดเเรกเท่านั้น ดังนั้นกลยุทธ์เด็ดที่จะดึงดูดลูกค้าคือการสร้างโอกาสในการขายด้วยการเขียนสิ่งที่น่าสนใจ

และนี่คือตัวอย่างสำหรับประโยคที่สร้างโอกาสในการขาย โดยโครงสร้างของประโยคที่เน้นการขายจะมีลักษณะดังนี้

  • “คุณเคยได้ยินหรือคุ้นหูไหม”
  • “ตอนนี้คุณสามารถ (รับประโยชน์) ใน (ระยะเวลาที่กำหนด) โดยไม่ต้องมี (โซลูชั่นทั่วไป)”
  • “คุณสัมผัสได้ไหมว่า……”
  • “การศึกษาใหม่ค้นพบ (ผลลัพธ์ที่น่าแปลกใจ)”
  • “แนะนำ (ชื่อผลิตภัณฑ์) ซึ่งช่วยให้ (สรรพคุณ) ”

สร้างสตอรี่ที่น่าสนใจสำหรับการขาย

การสร้างสตอรี่หรือเรื่องราวเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดึงดูดผู้คน เเละสามารถสร้างแรงจูงใจให้พวกเขาอ่านคอนเทนต์ของคุณต่อ ปัญหาก็คือการสร้างสตอรี่นั้นควรสั้น เเละกระชับ ดูเเล้วเข้าใจเเละมองเห็นแก่นเรื่อง สตอรี่ที่ดีควรจะเป็นเรื่องราวสั้น ๆ เขียนเป็นเรื่องย่อประมาณ 4-5 บรรทัดเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น

ฉันเริิ่มต้นหน้า Sales Page ด้วยการเขียนสตอรี่บอกเล่าสั้น ๆ ที่ชวนให้น่าติดตาม

เติมเต็ม Headline ให้สมบูรณ์และเพอร์เฟ็กต์

บางครั้งการสร้างโอกาสในการขายสามารถทำได้โดยการเสริม Headline ให้ดึงดูดผู้คนมากยิ่งขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการใช้บรรทัดแรกของคอนเทนต์ในการกระตุ้นความสนใจ

ซึ่งจะสร้างจุดขายให้คุณได้อย่างดี

คุ้นใช่ไหม ซึ่งมันก็คือการใช้สูตร AIDA ที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง ตัวอย่างเช่นการสร้างโอกาสในการขายสำหรับคอร์สเรียนรู้การทำ SEO สำหรับแพลตฟอร์ม YouTube เราจะเขียนคำที่ดึงดูดผู้คนให้ตัดสินใจลงเรียนคอร์สของเรา โดยการการันตีผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้

ต้องเขียนไม่เกิน 8 บรรทัด

ไม่ว่าจะเป็นโพสต์บล็อก หรือสคริปต์วีดีโอ แม้กระทั้งอีเมลสำหรับการขาย คุณต้องเขียนให้กระชับมาก ไม่ควรเกิน 8 บรรทัด ซึ่งเป้าหมายของคุณคือการดึงดูดความสนใจของผู้คน โดยส่วนใหญ่ผู้คนไม่ชอบอ่านอะไรที่มันยาว ดังนั้นการเขียนให้สั้นเเละได้ใจความจะดีที่สุด

ตัวอย่างเช่น

เราได้เขียนแนะนำเกี่ยวกับบล็อกโพสต์ของเราว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ซึ่งเขียนไว้ประมาณ 6 บรรทัดเท่านั้น

เชื่อไหมว่าการเขียนแนะนำเพียง 6 บรรทัดนี้ สามารถดึงดูดผู้คนจำนวนมากเข้ามาอ่านเนื้อหาทั้งหมดที่เราเขียนในบล็อกโพสต์นี้

บทที่ 6 วิธีการเขียนคำโฆษณาอย่างไรให้น่าสนใจ

สำหรับบทนี้ เราจะแสดงให้คุณเห็นถึงวิธีการเขียนที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถใช้เทคนิคการเขียนนี้กับสื่อออนไลน์มากมายไม่ว่าจะเป็นโพสต์บล็อก, อีเมล, โพสต์โซเชียลมีเดีย, ข้อความโฆษณา และอีเมล เป็นต้น แนะนำว่าต้องอ่านบทนี้เลยห้ามพลาดเด็ดขาด

เขียนให้เสมือนคำพูด

การเขียนคำโฆษณาที่ดีที่สุด ก็คือเขียนอย่างไรให้เหมือนกับคำพูด ไม่เหมือนกับการอ่าน

ตัวอย่างเช่น 

การเขียนในอีเมลล่าสุดของฉัน

อ่านแล้วคุณรู้สึกอย่างไร เป็นการเขียนที่ธรรมชาติและอ่านได้ลื่นไหลเลยใช่ไหมเอ่ย เพราะหลังจากการเขียนนั้นจะต้องทดลองอ่านออกเสียงออกมาดัง ๆ เพื่อดูว่าเวลาที่คุณอ่านมีส่วนไหนที่ติดขัดหรือฟังไม่ลื่นหูบ้าง

เขียนให้อยู่ในรูปประโยคสั้น ๆ 

มีงานวิจัยของ American Press Institute ที่ได้เขียนบทความให้มีความยาวแตกต่างกัน โดยบทความที่ 1 มีความยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 54 คำ และบทความที่ 2 มีความยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 12 คำ ผลปรากฏว่าผู้ที่อ่านบทความที่ 2 มีความเข้าใจเนื้อหาได้ดีกว่าบทความที่ 1 ถึง 711% ทั้งที่เป็นบทความเรื่องเดียวกัน แต่มีปริมาณคำแตกต่างกัน

ดังนั้นสรุปได้ว่าการเขียนสั้น ๆ ได้ใจความจะดีกว่า

เขียนให้เฉพาะเจาะจงต่อบุคคล

การเขียนที่ดีต้องหลีกเลี่ยงการคัดลอก และการเขียนโดยรวมแบบวงกว้าง

แต่อยากจะแนะนำให้เขียนเเบบเจาะจงบุคคลเเทนจะดีกว่า

และเทคนิคนี้ยังใช้กับ B2B ได้ ซึ่ง B2B copywriter ชื่นชอบจะเขียนโฆษณาที่เเปลกใหม่ ไม่มีใครกล่าวถึง ดังตัวอย่างด้านล่างนี้

และนี่คึอตัวอย่างการเขียนที่พูดสื่อสารกับผู้อ่านโดยตรง

เขียนประโยคให้อยู่ในรูปแบบ Active Voice

การเขียนในรูปประโยค Active Voice ใช้ในการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงธุรกิจ เนื่องจาก Active voice สามารถสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมา สั้น กระชับ และได้ใจความสำคัญ

เห็นไหมว่ารูปประโยค Active Voice สื่อสารได้ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับ Passive Voice โดยถ้าหากคุณยังไม่ทราบว่าประโยครูปเเบบใดที่เป็น Active Voice หรือ Passive Voice สามารถอ่านคำแนะนำจากคู่มือของ University of Wisconsin นี้ได้

นอกจากนั้นคุณยังสามารถตรวจสอบประโยค Active Voice และ Passive Voice โดยใช้เครื่องมือ Hemingway

ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดที่หรูหราเกินไป

คำพูดที่ดูใหญ่โต หรูหรา อาจไม่ได้ทำให้ใครประทับใจ เพราะมันอาจจะทำให้อ่านเเละทำความเข้าใจได้ยาก ซึ่งแน่นอนว่าผู้คนไม่อยากจะอ่าน 

ตัวอย่างคำที่ควรหลีกเลี่ยง

  • น่าหลงไหล
  • มีสติสัมปชัญญะ
  • หาตัวจับได้ยาก
  • น่าประหลาดใจ

แนะนำให้ใช้คำง่าย ๆ ที่ใช้กันทั่วไปเช่น

  • น่าสนใจ
  • รอบคอบ
  • มีเอกลักษณ์
  • น่าตื่นเต้น

เป็นต้น

เเบ่งเนื้อหาออกเป็นสัดส่วน

การเขียนที่ดีจะต้องมีการเเบ่งเนื้อหาออกเป็นสัดส่วน เช่น การสร้างหัวข้อย่อย เพื่อให้อ่านได้ง่ายยิ่งขึ้น 

ตัวอย่างดังภาพข้างล่างนี้ ฉันได้เขียนเกี่ยวกับการตรวจสอบ SEO ซึ่งมีทั้งหมด 15 ขั้นตอน

โดยบทความนี้มีจำนวนคำทั้งหมด 3,759 คำ ซึ่งได้ทำการเเบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วo ๆ โดยมีหัวข้อย่อยเป็นขั้นตอนแต่ละขั้นตอนสำหรับการตรวจสอบ SEO

ซึ่งฉันได้ใช้หัวข้อย่อย ๆ ทั้งหมด 43 หัวข้อสำหรับโพสต์นี้ เเบ่งเป็น H1 H2 H3 เเละ H4 เป็นต้น

และนอกจากนั้นคุณจะต้องสรุปประเด็นสำคัญที่สุดใในเเต่ละส่วนหัวข้อย่อยของคุณ ยกตัวอย่างภาพด้านล่างนี้ เป็นบทความที่ฉันได้เขียนเกี่ยวกับเครื่องมือการสร้างลิงก์ 15 เครื่องมือที่น่าสนใจ

โดยแต่ละเครื่องมือได้กล่าวถึงคุณลักษณะ ราคา เเละคุณสมบัติอื่น ๆ ของแต่ละเครื่องมือ

ดังนั้นจึงทำการเพิ่มส่วน “Bottom Line” ลงไปในเเต่ละเครื่องมือ

เเละวิธีนี้จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจส่วนสำคัญของเนื้อหาได้ โดยไม่ต้องอ่านทุกคำ

บทที่ 7 สูตรสำเร็จวิธีการเขียนโฆษณาที่เป็นที่ยอมรับในวงการ Copywriter

การเป็น Copywriter ที่ดีได้ไม่จำเป็นต้องเขียนเก่งอย่างเดียว สื่งหนึ่งที่สายอาชีพนี้ควรมีคือการใช้เครื่องมือ หรือเทมเพลตที่ดีในการสร้างเนื้อหาขึ้นมา ซึ่งในบทนี้คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสูตรสำเร็จของการเป็น Copywriter ที่เพอร์เฟ็กต์ สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ได้จริง

อีเมลจดหมายข่าว

และนี่คือเทมเพลตง่าย ๆ ที่คุณสามารถใช้เพื่อเขียนจดหมายข่าวได้

โดยมีโครงสร้างดังนี้

  • หัวเรื่องที่สั้น เเละง่าย (Subject Line)

หัวเรื่องของอีเมลข่าวควรจะใช้คำง่าย ๆ ที่มีความหมาย ไม่ควรใช้ประโยคยาว ๆ ยกตัวอย่างเช่น อีเมลด้านล่างนี้ ใช้หัวเรื่องว่า “Backlinks” ซึ่งเป็นคำที่สั้นกระชับ เเละบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าอีเมลนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยผลลัพธ์ปรากฏว่าอีเมลฉบับนี้มีอัตราการเปิดอยู่ที่ 46.3% จากสมาชิกทที่เราส่งอีเมลให้ทั้งหมดจำนวน 92,232 คน

  • เขียนบรรทัดเเรกให้ดึงดูดความสนใจ (Attention Grabbing Lead)

การเขียนบรรทัดแรกให้น่าใจ จะดึงดูดผู้อ่านของคุณในทันที และนี่คือตัวอย่างที่ดี

  • บทเรียนที่มีเนื้อหาเป็นเรื่องราว (Lesson as a Story)

การเขียนอีเมลทางธุรกิจที่ดีนั้นต้องอ่านเเล้วให้ความรู้เหมือนเป็นอีเมลที่ได้รับจากเพื่อน โดยจะต้องเขียนให้เป็นเรื่องราว ให้มีสตอรี่ที่อ่านแล้วน่าสนใจ

ตัวอย่างเช่น 

จดหมายจาก CoSchedule ที่เขียนได้น่าขบขัน เป็นเรื่องส่วนตัวที่น่าสนใจ และส่งจากบุคคลเพียงเเค่คนเดียว 

  • เขียนด้วยคำที่กระตุ้นความสนใจ (Clear Call-To-Action)

เขียนกระตุ้นและโน้มน้าวให้ผู้อ่านรู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการสมัครเพื่อทดลองใช้งานฟรี หรือการโน้มน้าวให้อ่านเนื้อหาให้จบ หรือสร้างแรงจูงใจให้เกิดการตัดสินใจซื้อ เป็นต้น

  • ใช้ ป.ล. (โปรดอย่าลืม)

อีเมลที่ดีนั้นควรจะมีส่วนของ ป.ล เนื่องจากว่าเป็นส่วนที่ผู้คนเลือกอื่น เพราะฉะนั้นเเนะนำว่าให้ลงท้ายอีเมลด้วย ป.ล.:ซึ่งจะต้องเขียนเกี่ยวกับข้อเสนอเเนะ และ CTA เพื่อให้กระตุ้น โน้มน้าวผู้อ่าน

และนี่คือ ป.ล. ที่ฉันใช้ในอีเมลฉบับล่าสุด

หน้า Landing Page

ส่วนต่อมาคือวิธีการสร้างหน้าบริการที่มี Conversion Rate สูง ๆ รวมทั้งการสร้างหน้าสมัครรับอีเมล และอื่น ๆ 

และนี่คือเทมเพลตที่ใช้สำหรับการสร้างหน้า Landing Page โดยมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

  • Headline ที่ชัดเจน

การเขียน Headline ควรเเจ้งให้ผู้อ่านได้ทราบอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากคุณ 

  • Social Proof

 คุณควรมี Social Proof บนหน้าเว็บเพจ ซึ่งอาจจะเป็นโลโก้ของลูกค้าที่เคยใช้บริการจากคุณ เป็นจำนวนลูกค้า หรือเขียนเเสดงลูกค้าที่มีชื่อเสียงที่เคยเข้ามาใช้บริการของคุณ

  • ฺBody = PAS

เนื้อหาหน้า Landing Page ของคุณควรจะเป็นไปตามสูตร “Problem, Agitage, Solve” ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยปัญหาที่เป็นอันดับ 1 ของกลุ่มเป้าหมาย เน้นว่าปัญหานั้นน่ารำคาญเพียงใด จากนั้นเข้าสู่วิธีการเเก้ไข

  • Transition การเปลี่ยนแปลง

คุณต้องเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย ให้กลายเป็นลูกค้าของคุณให้ได้ ดังตัวอย่างด้านล่างนี้

  • Call-To-Action

เขียนโน้มน้าวให้ผู้อ่านทราบว่าต้องทำอะไรต่อไป ไม่ว่าจำเป็นการจัดกำหนดการสาธิตสินค้า การซื้อของ หรือการลงทะเบียน

โพสต์บล็อก

นี่คือเทมเพลตที่คุณสามารถใช้เพื่อสร้างโพสต์บล็อกที่กระตุ้นการเข้าชมให้สูงขึ้น และลงชื่อเป็นสมาชิกผ่านทางอีเมล

โดยองค์ประกอบของโพสต์บล็อกมีดังต่อไปนี้

  • Headline 

แน่นอนว่าการสร้าง Headline จะต้องมีความชัดเจนเเละเจาะจงมาก เพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าพวกเขากำลังเรียนรู้อะไร ซึ่งการเขียน Headline ที่เจาะลึกถึงเนื้อหานั้นสามารถเพิ่มอัตราการคลิกได้มากขึ้น

และนี่คือตัวอย่างสำหรับการเขียน Headline

  • Short Intro

สำหรับการเขียนบทนำควรเป็นการเกริ่นแบบสั้น ๆ สักประมาณไม่เกิน 8 ประโยคจะดีมาก เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย เขียนกระชับไม่ยืดเยื้อ เพราะผู้คนไม่ชอบอ่านอะไรที่มันยาว ๆ 

  • Intro

บทนำของคุณควรพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าคุณสามารถทำตามคำที่เขียนไว้ใน Headline ได้หรือไม่ ซึ่งหมายถึงการเขียนอินโทรจะต้องเน้นว่าสิ่งที่คุณการันตีสำหรับผลลัพธ์ หรือประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ

ตัวอย่างเช่น

  • Content ที่สามารถใช้งานได้จริง

การเขียนคอนเทนต์จะต้องมีเนื้อหาเทคนิค หรือกลยุทธ์ที่ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ได้จริง และนี่คือตัวอย่างคอนเทนต์ของเรา

  • เขียนยกกรณีตัวอย่างในคอนเทนต์

การยกตัวอย่างจะทำให้คอนเทนต์ของคุณอ่านเเละเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนั้นอย่าลืมที่จะยกตัวอย่างในคอนเทนต์ของคุณ

  • สรุปลงท้าย

สำหรับสรุปท้ายคอนเทนต์จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็น กระตุ้นให้ผู่อ่านสมัครสมาชิกรับอีเมลข่าวสารต่าง ๆ จากคุณ 

อีเมลสำหรับการขาย

ต่อไปนี้คือวิธีการจัดโครงสร้างของอีเมล เพื่อการเขียนอีเมลการขายได้อย่างถูกต้อง เเละสามารถกระตุ้นผู้รับเปิดอ่านอีเมบ พร้อมทั้งยังเสริมให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้

โดยองค์ประกอบของอีเมลสามารถแบ่งย่อยได้ดังนี้

  • Headline

การดึงดูดความสนใจของผู้อ่านด้วย Headline ที่ชัดเจนแล้ว ยังควรมีการเขียนเน้นถึงประโยชน์ หรือผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากผลิตภัณฑ์ของคุณ โดยต้องเน้นตัวหนังสือให้หนาและเห็นเด่นชัดขึ้น

  • Powerful Lead 

เริ่มต้นอีเมลขายด้วยเรื่องราวที่ชวนน่าสนใจการเเสดงถึงข้อมูลทางด้านสถิติ หรือเขียนถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง

และนี่เป็นตัวอย่างที่ดี

  • “D” และ “A” จากสูตร AIDA

Headline ของคุณสามารถสร้างโอกาสในการขายได้ ซึ่งต้องมีการเน้นถึง “Attention” และ “Interest” .ในสูตร AIDA เเละในช่วงกลางของอีเมลควรเขียนดึงดูดให้ผู้คนอยากใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ

  • Bullet

ควรใช้ Bullet ในการแบ่งเเยกเนื้อหาเป็นหัวข้อย่อยต่าง ๆ เพื่อทำให้อ่านง่าย เเละเพิ่มความน่าสนใจของเนื้อหา

และนี่คือตัวอย่างของการใช้ Bullet

  • ข้อความรับรอง

ใช้ข้อความรับรองที่ได้จากบุคคลกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้าของคุณในอนาคตได้ นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับการเขียนข้อความรับรอง

  • การเขียนรับประกันความเสี่ยง

อีเมลสำหรับการขายควรจะมีการเขียนในส่วนของการรับประกันความเสี่ยง เช่น 

“ยกเลิกได้ตลอดเวลา” 

“รับประกัน 60 วัน”

“ลองสินค้าได้ ก่อนการตัดสินใจซื้อ”

ซึ่งประโยคเหล่านี้จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและการบริการจากคุณ

  • การใช้ Call-To-Action

อีเมลขายที่ดีต้องมี CtA ทั้งในส่วนเริ่มต้น และส่วนท้านของอีเมล เพื่อกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายให้ตัดสินใจเลือกสินค้าและการบริการของคุณ

บทที่ 8 กลยุทธ์การเขียนคำโฆษณาขั้นสูง

ตอนนี้ก็ถึงเวลาสำหรับการพัฒนาทักษะการเขียนคำโฆษณาขั้นสูงแล้ว ในบทนี้จะเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์และวิธีการเขียนคำโฆษณาเเบบพื้นฐานให้เป็นขั้นสูง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาเริ่มเรียนรู้กันเลย

ใช้ตัวเลขที่ไม่ปัดเศษ

ตัวเลขที่ไม่ปัดเศษนั้นมีความน่าเชื่อถือกว่าการใช้ตัวเลขกลม ๆ ตัวอย่างเช่น

  • 57
  • 8,913
  • 41.9%
  • 12.4

ซึ่งผู้อ่านจะเชื่อถือข้อมูลมี่เป็นตัวเลขไม่ปัดเศษมากกว่า

ดังนั้นไม่จำเป็นตัองปัดเลขให้เป็นตัวเลขกลม ๆ 

จะเห็นในโพสต์นี้เราใช้เลขที่ไม่ปัดเศษ 519,977 คน แทนที่จะเขียนว่ามากกว่า 500,000 คน

การขายที่ดีไม่ใช้การบอกข้อมูลทั้งหมดของสินค้า

เราเคยถามผู้ที่สำเร็จในด้านการขายส่าเทคนิคการขายของเขาคืออะไร คำตอบที่ได้คือ การขายไม่ใช่การบอกข้อมูลของสินค้าทั้งหมด แต่ต้องเเสดงให้ผู้คนเห็นว่าสินค้าของคุณนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

ตัวอย่างเช่น หน้าเว็บนี้กล่าวถึงเหตุผลที่สกุลเงินดิจิตอลของพวกเขาเหมาะกับคุณอย่างไร

เเละในส่วนหน้าเเรกของ Coinbase จะแสดงให้คุณเห็นว่ามันทำงานอย่างไรบ้าง

สร้างปุ่มกระตุ้นการคลิก

การสร้างปุ่มที่มีคำอธิบายชัดเจนจะเพิ่มอัตราการคลิก ซึ่งการคลิกนั้นจะเป็นส่วนสุดท้ายที่พาไปหาผลลัพธ์อื่น ๆ 

ตัวอย่างเช่น

คู่มือของ Backlinko ข้างล่างนี้ ได้สร้างปุ่ม “Get The Free Guide” เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมคลิกเข้าไปอ่านคู่มือฉบับเต็ม

หรือการสร้างปุ่ม “เรียนรู้เพิ่มเติม” เพื่อกระตุุ้นให้เกิดการคลิกเข้าไปอ่านเเละเรียนรู้เพิ่มเติม

ซึ่งการเพิ่มปุ่มคลิกเหล่านี้จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่หน้าแรกของฉันมี Conversion Rate ที่ 6.64%

อย่าอยู่เเต่ใน “Friend Zone”

คำว่า Friend Zone คือการที่คุณชอบใครสักคร เเละพวกเขาชอบคุณกลับ…เเต่อยู่เเค่ในสถานะเพื่อนนะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเขียนคำโฆษณาคุณคงสงสัยใช่ไหม

ปรากฏว่าความสัมพันธ์เช่นนี้สามารถเกิดได้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสจะพัฒนามาเป็นลูกค้าของคุณ พวกเขาอาจจะชอบสิ่งที่คุณขาย…เเต่ไม่ได้ชอบมากพอที่จะซื้อ โดยพวกเขามักจะพูดคำเหล่านี้ออกมา เช่น

“แพงมาก”

“ยังไม่ถึงเวลาซื้อ”

“ซื้อเเล้วจะมีประโยชน์หรือไม่”

“ยังไม่อยากทดลองสินค้าใหม่นี้”

ซึ่งหน้าที่ของคุณคือการจัดการคำเหล่านี้ให้ออกจากความคิดของกลุ่มเป้าหมายให้ได้

สร้างสตอรี่ที่มีผลต่อจิตใจ

การจะเป็น Copywriter ที่ดีที่สุดในโลก ต้องรู้จักสร้างสตอรี่ที่มีผลทางด้านจิตใจขึ้นมา ตัวอย่างเช่น บทนำในโพสต์บล็อกของ Marie Forleo นี้

ซึ่งคุณอาจจะใช้ประโยคเหล่านี้ “คุณเคยรู้สึกหนักใจ วิตกกังวัลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณไหม” ซึ่งเป็นประโยคที่สามารถโน้มน้าวใจคนอ่าน เเละสะเทือนความรู้สึกของผู้อ่านได้ดี

การลดคำโต้เเย้งในเรื่องของราคา

การลดคำโต้แย้งทางด้านราคา (Reduce Price Objections) คือ กลยุทธ์ที่ใช้ในการตอบสนองต่อคำโต้แย้งหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับราคาสินค้าหรือบริการที่สูงเกินไป โดยเน้นที่การนำเสนอข้อได้เปรียบเทียบหรือคุณค่าที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้าโดยลดความไม่พอใจเกี่ยวกับราคาของสินค้าหรือบริการลงไป

ตัวอย่างเช่น

ประโยคสองประโยคนี้ มีอัตราค่าธรรมเนียมเท่า:

“ค่าธรรมเนียม 5 ดอลลาร์” กับ “ค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเพียง 5 ดอลลาร์”

ปรากฏว่าประโยคที่สอง “ค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเพียง 5 ดอลลาร์” มี Conversion Rate สูงกว่าประโยคแรกถึง 20% ดังนั้นการเสรมิคำเข้าไปในส่วนของราคาจะช่วยให้ลูกค้ามองว่าราคาที่นำเสนอขายนั้นสมราคาแล้ว

เขียนข้อความรับรองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า

จากข้อมูลของ Bigcommerce พบว่าข้อความรับรองจากลูกค้าสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 62% แต่คุณต้องใช้ข้อความรับรองให้ถูกต้อง

นี่คือตัวอย่างข้อความรับรองที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากเท่าที่ควร

และนี่คือตัวอย่างที่ดีสำหรับการเขียนข้อความรับรองควรมีเค้าโครงและการเขียนในรูปแบบด้านล่างนี้

อย่างที่คุณเห็นสูตรโครงร่างการเขียนข้อความรับรองนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก โดยส่วนแรกคือ “Before ” จะเป็นส่วนที่ลูกค้าจะทราบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของคุณ

ถัดไปก็คือส่วน “After” เป็นส่วนที่ลูกค้าจะทราบว่าจะได้รับอะไรบ้างจากผลิตภัณฑ์ สินค้าและการบริการจากคุณ

ในส่วนสุดท้ายจะเป็นสิ่งที่ผู้เขียนข้อความรับรองต้องการบอกกับผู้อ่าน เช่น “คุณจะบอกอะไรกับคนที่กำลังพิจารณาจะซื้อผลิตภัณฑ์นี้”

และแน่นอนว่าคำแนะนำที่อยู่ในข้อความรับรองนี้มาจากลูกค้าของคุณ ที่เคยได้ใช้ ได้สัมผัสกับสินค้า หรือการบริการ จึงทำให้มีความน่าเชื่อถือ

บทสรุปส่งท้าย

ตอนนี้ก็ถึงเวลาของคุณแล้ว เราหวังว่าคุณจะชอบคำแนะนำสำหรับการเขียนคำโฆษณา คุณอยากจะทดลองใช้ตัวเลขใน Headline หรือไม่ หรือคุณอาจจะเขียนประโยคให้สิ้นลงและกระชับ อ่านเข้าใจง่าย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามกลยุทธ์เทคนิคทั้งหมดนี้สามารถนำไปใช้ได้จริง เเละสามารถพัฒนาให้คุณกลายเป็นหนึ่งใน Copywriter ที่เก่งที่สุด ช่วยให้ยอดขายพุ่งสูงเกินไปได้อย่างแน่นอน

สวัสดีค่ะทุกคน ชื่อหมูนะคะ เราเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบงานเขียนมาก ๆ ค่ะ เพราะงานเขียนเปรียบเสมือนกับการสร้างโลกในจินตนาการของเราขึ้นมา โลกใบนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสนุกสนาน เเละความรู้มากมายที่เราสามารถผจญภัยไปได้เเบบไม่มีลิมิต มาท่องโลกของตัวหนังสือไปพร้อมกันนะคะ