E-A-T คืออะไร ทำไมถึงสำคัญกับ SEO

ผู้คนเริ่มกล่าวถึง E-A-T เป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ปี 2018 และนับตั้งแต่นั้น E-A-T ก็ถูกกล่าวถึงในบทความของ SEO มากขึ้นเรื่อยๆจนถึงในปัจจุบัน

บทความด้านล่างแสดงให้เห็นว่า E-A-T เป็นปัจจัยสําคัญในการจัดอันดับ

ในขณะที่บางบทความก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้

แล้วความจริงคืออะไรกันล่ะ

ในบทความนี้ เราจะมาอธิบายให้คุณฟังในหัวข้อด้านล่างนี้

E‑A-T คืออะไร

E‑A-T- ย่อมาจาก Expertise, Authoritativeness, และ Trustworthiness โดยมีที่มาจาก Google’s Search Quality Rater Guidelines ซึ่งเป็นเอกสาร 168 หน้าที่ผู้ประเมินคุณภาพนั้นใช้ประเมินคุณภาพของผลการค้นหา Google

Google เผยแพร่เอกสารนี้ทางออนไลน์ในปี 2013 เพื่อช่วยให้เว็บมาสเตอร์เข้าใจว่า Google มองหาอะไรในหน้าเว็บไซต์

E‑A-T สำคัญแค่ไหน

E-A-T มีความสำคัญในหลายๆด้าน เเต่บางที มันอาจจะมีความหมายมากกว่าที่คุณคิด

หากคุณต้องการค้นหาแค่รูปแมวที่น่ารัก E‑A-T ก็อาจไม่มีความสำคัญมากนัก เพราะหัวข้อนี้เป็นเรื่องของมุมมองส่วนบุคคล และไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหากคุณค้นเจอแมวที่คุณไม่ได้คิดว่ามันน่ารัก

แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากคุณกำลังค้นหาปริมาณของแอสไพรินที่ถูกต้องเพื่อใช้เมื่อตั้งครรภ์ E‑A-T นั้นจะสำคัญมากอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะการค้นหาเช่นนี้ หาก Google แสดงเนื้อหาซึ่งเขียนขึ้นโดยนักเขียนที่อาจไม่มีความรู้มากนัก และโพสต์อยู่ในเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ เนื้อหาของบทความนั้นอาจส่งผลให้คนอ่านเกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้ ด้วยลักษณะของข้อมูลที่กำลังค้นหา ไม่เพียงแต่จะค้นหาได้ยาก แต่การได้รับข้อมูลที่บิดเบือนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้อีกด้วย

E‑A-T ยังมีความสำคัญสำหรับคำถามบางประเภท เช่น “การเพิ่ม Credit score ต้องทำอย่างไร” ในที่นี้ คำแนะนำจากคนที่ไม่มีความรู้ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้อมูล อาจไม่ถูกต้องตามกฏหมาย และไม่สามารถเชื่อถือได้

Google ได้อ้างถึงหัวข้อประเภทนี้ว่าเป็นหัวข้อ YMYL (Your Money or Your Life):

เพจหรือหัวข้อบางประเภทอาจส่งผลกระทบต่อความสุข, สุขภาพ, ความมั่นคงทางการเงิน, หรือความปลอดภัยของบุคคล ในอนาคตได้ เราจึงเรียกหน้าดังกล่าวว่า Your Money or Your Life หรือ YMYL หากเว็บไซต์ของคุณมีความเกี่ยวข้องกับหัวข้อ YMYL การใช้ E-A-T เป็นสิ่งที่สำคัญ

มีการประเมิน E-A-T อย่างไร

Expertise, Authoritativeness, และ Trustworthiness เป็นแนวคิดที่คล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น แต่ละรายการจึงได้รับการประเมินแยกกัน โดยใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกันในการประเมิน

Expertise 

Expertise หมายถึง การมีความรู้ความชำนาญหรือทักษะระดับสูงในด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ Google จะเน้นการค้นหาเนื้อหาที่สร้างโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยมีการประเมินความน่าเชื่อถือของเนื้อหาเป็นหลัก ไม่ใช่จากเว็บไซต์ หรือองค์กรที่มีชื่อเสียง

สำหรับหัวข้อ YMYL นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญอย่างเป็นทางการ คุณวุฒิ และระดับการศึกษาของผู้สร้างเนื้อหานั้น ตัวอย่างเช่น นักบัญชีจะมีคุณสมบัติในการเขียนเกี่ยวกับการเตรียมภาษีมากกว่าคนที่อ่านโพสต์สองสามโพสต์ของเว็บ r/personalfinance ความเชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหัวข้อ YMYL เช่น คำแนะนำทางการแพทย์ การเงิน หรือกฎหมาย เป็นต้น

สำหรับหัวข้อที่ไม่ใช่ YMYL เป็นการแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ชีวิตที่เกี่ยวข้อง และความเชี่ยวชาญในชีวิตประจำวัน บางหัวข้ออาจต้องการความเชี่ยวชาญที่น้อยกว่า หากว่าผู้สร้างเนื้อหาดูเหมือนว่าจะมีประสบการณ์ชีวิตที่จะทำให้เขาเป็น ผู้เชี่ยวชาญ ในหัวข้อนั้นได้ เราก็สามารถให้คุณค่ากับ ความเชี่ยวชาญในชีวิตประจำวันเหล่านี้ได้ โดยไม่ได้มีบทลงโทษสำหรับบุคคล หรือเว็บไซต์ที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

Google ยังบอกอีกว่า ความเชี่ยวชาญในเรื่องชีวิตประจำวัน ก็เพียงพอแล้วสำหรับบางหัวข้อของ YMYL ตัวอย่างเช่น “คุณรู้สึกอย่างไรที่เป็นมะเร็ง” คนที่อาศัยอยู่กับโรคนี้สามารถตอบคำถามนี้ได้มากกว่าแพทย์ที่มีประสบการณ์หลายปี มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่ผู้คนจะมีความเชี่ยวชาญในหัวข้อ YMYL ตัวอย่างเช่น ฟอรัม และเพจสำหรับผู้ที่เป็นโรคเฉพาะ มีการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของความเชี่ยวชาญในชีวิตประจำวันนั่นเอง

Authoritativeness

Authoritativeness เป็นเรื่องของชื่อเสียงและการได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้เชี่ยวชาญและผู้มีอิทธิพลในอุตสาหกรรม พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อผู้อื่นมองว่าบุคคลหรือเว็บไซต์เป็นแหล่งข้อมูลที่เข้าถึงได้เกี่ยวกับหัวข้อหนึ่งๆ นั่นคือ Authoritativeness

ในการประเมิน Authority นั้น ผู้ประเมินจะค้นหาเว็บเพื่อหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับชื่อเสียงของเว็บไซต์หรือบุคคลผู้เขียนบทความ ใช้การวิจัยเรื่องชื่อเสียงเพื่อค้นหาความคิดเห็นที่ผู้ใช้จริงและผู้เชี่ยวชาญคิดเกี่ยวกับเว็บไซต์ ค้นหาบทวิจารณ์ ข้อมูลอ้างอิง คำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ บทความข่าว และข้อมูลที่เชื่อถือได้อื่นๆที่สร้าง หรือเขียนโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์

ผู้ประเมินจะได้รับคำสั่งให้ค้นหาจากแหล่งข้อมูลอิสระเมื่อต้องทำการประเมินเช่นนี้ เมื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับชื่อเสียงของเว็บไซต์ ควรพยายามค้นหาแหล่งข้อมูลที่ไม่ได้เขียนหรือสร้างขึ้นโดยเว็บไซต์ ตัวบริษัท หรือตัวบุคคลเอง โดย Google บอกว่า Wikipedia เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีแหล่งหนึ่ง บทความจาก Wikipedia สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับบริษัท รวมถึงข้อมูลเฉพาะสำหรับชื่อเสียง เช่น รางวัล การถูกพูดถึงในรูปแบบต่างๆ ข้อโต้แย้ง และประเด็นต่างๆ

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า Authority นั้นเป็นแนวคิดที่สัมพันธ์กัน แม้ว่า Elon Musk และ Tesla เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ก็มีอำนาจเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยเมื่อพูดถึง SEO

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่บางเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือเมื่อพูดถึงเรื่องเฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น เนื้อเพลงจากเว็บไซต์ทางการของวง Coldplay เป็นแหล่งที่น่าเชื่อถือที่สุด ในขณะที่ USDA คือแหล่งข้อมูลสำหรับเกรดเนื้อวัวในสหรัฐอเมริกาที่น่าเชื่อถือที่สุด

Trustworthiness

Trustworthiness เป็นเรื่องเกี่ยวกับความชอบธรรม ความโปร่งใส และความถูกต้องของเว็บไซต์และเนื้อหา ผู้ประเมินจะมองหาหลายสิ่งเพื่อประเมิน Trustworthiness หรือความน่าเชื่อถือนี้ รวมถึงการที่เว็บไซต์ระบุว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบเนื้อหาที่เผยแพร่ นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการค้นหาแบบ YMYL แต่สามารถใช้กับการค้นหาที่ไม่ใช่ YMYL ได้เช่นกัน

เว็บไซต์ YMYL ต้องการความน่าเชื่อถือในระดับสูง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการข้อมูลที่น่าพอใจว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบเนื้อหาของเว็บไซต์ การมีข้อมูลติดต่อที่เพียงพอก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะสำหรับหัวข้อ YMYL และร้านค้าออนไลน์

หากเว็บไซต์ของร้านค้าหรือในหน้าการทำธุรกรรมทางการเงิน มีเพียงที่อยู่อีเมลและที่อยู่จริง อาจจะเป็นเรื่องยากที่ลูกค้าจะได้รับความช่วยเหลือหากมีปัญหาเกี่ยวกับการทำธุรกรรม ในทำนองเดียวกัน เว็บไซต์ YMYL ประเภทอื่นๆ ก็ต้องการความไว้วางใจจากผู้ใช้ในระดับสูงเช่นกัน

ผู้ประเมินยังคำนึงถึงความถูกต้องของเนื้อหาด้วย

สำหรับบทความข่าวและหน้าข้อมูล เนื้อหาจะต้องมีคุณภาพสูงและมีความถูกต้องตามข้อเท็จจริงสำหรับหัวข้อนั้นๆ อีกทั้งยังต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด้วย

การอ้างอิงแหล่งที่เชื่อถือได้เป็นส่วนหนึ่ง

บทความที่มีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำเพียงพอ และการอ้างอิงจากภายนอกที่น่าเชื่อถือมักจะจัดเป็นบทความระดับสูง เพียงจำไว้ว่าความไว้วางใจ หรือ Authoritativeness เป็นแนวคิดที่สัมพันธ์กัน โดยบุคคลและเว็บไซต์ไม่สามารถถูกมองว่าเป็นแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ในทุกด้าน เหมือนกับที่เว็บไซต์ Ahrefs เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับ SEO แต่ไม่ใช่เรื่องการเพาะกาย

E‑A-T เป็นปัจจัยต่อการจัดอันดับหรือไม่

คุณ Danny Sullivan ผู้ประสานงานด้านการค้นหาสาธารณะของ Google ได้กล่าวไว้ว่า

จากรูปข้างบนคุณอาจจะยังไม่เข้าใจมากนัก เดี๋ยวเราจะอธิบายเพิ่มเติมให้ฟัง

คุณจะเห็นได้ว่า สิ่งที่จะเป็นปัจจัยในการจัดอันดับนั้น ต้องเป็นสิ่งที่จับต้องได้ซึ่งคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและประเมินได้

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็น จำนวน Backlinks

Google รวบรวมข้อมูลจากเว็บต่างๆ เพื่อให้รู้ว่ามี Backlinks มากน้อยเพียงใด พวกเขาสามารถสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จัดอันดับหน้าเว็บไซต์ที่มี Backlinks ที่มีคุณภาพสูงสุดได้อย่างง่ายดาย

ปัญหาเกี่ยวกับ Expertise, Authoritativeness และ Trust คือ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของเนื้อหา แต่มันยังเป็นแนวคิดพื้นฐานของมนุษย์ที่คุณไม่สามารถบอกให้คอมพิวเตอร์จัดอันดับหน้าเว็บไซต์ที่มี E‑A-T ให้สูงขึ้นได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้เพียง Bit และ Byte เท่านั้น

และนี่คือวิธีการแก้ปัญหาของ Google

1. ให้วิศวกรด้านการค้นหาปรับแต่งอัลกอริทึมที่อาจช่วยปรับปรุงคุณภาพของผลการค้นหา

2. แสดงผลการค้นหาต่อผู้ประเมินคุณภาพ ทั้งแบบที่มีและไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากที่เสนอให้ดำเนินการ หน้าที่ของพวกเขาคือการให้ข้อเสนอแนะแก่ Google โดยพวกเขาจะไม่ได้รับแจ้งว่าผลลัพธ์ชุดใดเป็นชุดใด

3. Google ใช้ข้อเสนอแนะเพื่อตัดสินใจว่าการปรับแต่งที่เสนอไปนั้นมีผลกระทบเชิงบวกหรือเชิงลบต่อผลการค้นหาหรือไม่ หากผลลัพธ์เป็นบวก ก็จะดำเนินการเปลี่ยนแปลง

เมื่อใช้กระบวนการนี้ วิศวกรของ Google สามารถเข้าใจสัญญาณที่จับต้องได้ซึ่งสอดคล้องกับ E‑A-T และปรับอัลกอริทึมการจัดอันดับให้สอดคล้องกัน

คลิปอธิบายเนื้อหาเพิ่มเติม: How Google makes improvements to its search algorithm

คุณ Ben Gomes รองประธานฝ่ายการค้นหาของ Google ได้เสนอ tldr ที่ยอดเยี่ยม ในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC ในปี 2018

คุณสามารถดูหลักเกณฑ์ของผู้ประเมินว่าพวกเราต้องการให้อัลกอริทึมการค้นหาไปที่ใด พวกเขาไม่ได้บอกคุณว่าอัลกอริทึมจัดลำดับผลลัพธ์ยังไง แต่จะแสดงโดยพื้นฐานว่าอัลกอริทึมควรทำอย่างไร

เว็บไซต์มีคะแนน E‑A-T หรือไม่

คำตอบคือ ไม่

คำตอบนี้ค่อนข้างชัดเจนเมื่อคุณเข้าใจว่า Google ประเมิน E‑A-T และบทบาทของผู้ประเมินคุณภาพอย่างไร แต่มันคุ้มค่าที่จะต้องย้ำอีกครั้งว่า

Google ไม่ได้ให้คะแนน E‑A-T แก่เว็บไซต์ของคุณ

อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีต่างๆในการปรับปรุง Expertise, Authoritativeness และ Trust ของเว็บไซต์คุณในสายตาของผู้ตรวจวัดคุณภาพ

วิธีปรับปรุง E‑A-T ให้ดีมากยิ่งขึ้น

อันดับแรก คุณต้องเข้าใจก่อนว่าการสาธิตและวิธีปรับปรุง E‑A-T เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน คุณไม่สามารถสาธิต E‑A-T ได้หากคุณไม่มีมัน และนั่นคืออุปสรรคของคุณ

การขาด E‑A-T เป็นสาเหตุว่าทำไมเว็บไซต์ YMYL หลายเว็บจึงตกอันดับในเดือนสิงหาคม 2018 เมื่อ Google ได้เปิดตัวการอัปเดต “Medic” ที่น่าอับอายในขณะนี้

Traffic ที่ลดลงเมื่อมีการเปิดตัวการอัปเดตหลัก เกิดจากที่หลายเว็บไซต์แทบไม่มี E‑A-T เลยตั้งแต่แรก อีกทั้งความสามารถของ Google ในการตรวจหา E‑A-T อัลกอริทึมได้รับการปรับปรุงอีกด้วย

หากคุณเป็นหนึ่งในเว็บไซต์เหล่านี้ หรือต้องการปกป้องเว็บไซต์ของคุณสำหรับอนาคต ความพยายามในการปรับปรุงและแสดง E‑A-T ของคุณให้ Google ได้เห็นดีขึ้น จะเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด

วิธีที่จะสามารถช่วยคุณได้คือ :

1. สร้างลิ้งก์เพิ่ม

แม้จะไม่มีการกล่าวถึงลิ้งก์ใน Google’s Search Quality Rater Guidelines แต่คุณ Gary Illyes นักวิเคราะห์แนวโน้มผู้ดูแลเว็บของ Google ได้กล่าวไว้ว่า E‑A-T นั้นอิงตามลิ้งก์และการกล่าวถึงจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เป็นส่วนใหญ่

คุณ Marie Haynes ยังกล่าวอีกว่า Google เข้าใจดีว่าลิ้งก์ใดมีความสำคัญ ดังนั้นคุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้จัดลำดับความสำคัญของการสร้างลิ้งก์คุณภาพสูงมากกว่าลิ้งก์ที่มีคุณภาพต่ำ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้จากวิดีโอนี้: 7 Attributes of High Quality Backlinks

2. ปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ

หากคุณมีหัวข้อ YMYL เช่น คำแนะนำทางการแพทย์หรือการเงิน การอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ E‑A-T

บทความ E-A-T ระดับสูงสำหรับคำแนะนำทางการเงิน, คำแนะนำทางกฎหมาย, คำแนะนำด้านภาษี ฯลฯ ควรมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และได้รับการดูแลและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ

บทความ E-A-T ระดับสูงสำหรับคำแนะนำและข้อมูลทางการแพทย์ ควรเขียนหรือจัดทำในลักษณะที่เป็นมืออาชีพ และมีการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงอยู่เป็นประจำ

แล้วหัวข้อที่ไม่ใช่ YMYL ล่ะจะยังไงต่อ

Google’s Search Quality Rater Guidelines ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างเจาะจง แต่เราเชื่อว่ามันยังคงมีความสำคัญอยู่ ท้ายที่สุดแล้ว หน้าเว็บไซต์จะเชื่อถือได้อย่างไรหากทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดด้วยข้อมูลที่ล้าสมัย

3. ตรวจสอบข้อเท็จจริง

Google’s Search Quality Rater Guidelines กล่าวว่าบทความข่าวต้องมีความถูกต้องตามข้อเท็จจริงเพื่อแสดงให้เห็นถึง E‑A-T ในระดับสูง บทความข่าว E‑A-T ระดับสูงควรจัดทำขึ้นด้วยความเป็นมืออาชีพด้านนักข่าว โดยควรมีเนื้อหาที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง เช่นเดียวกันสำหรับเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ ควรมีความถูกต้องตามความเป็นจริงและสอดคล้องกับความเห็นของผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้

หน้าข้อมูล E‑A-T ในหัวข้อทางวิทยาศาสตร์ควรจัดทำขึ้นโดยบุคคลหรือองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม และแสดงถึงความเห็นพ้องทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับในประเด็นดังกล่าว

แล้วหัวข้ออื่นๆ ล่ะ

ถึงแม้ว่า Google’s Search Quality Rater Guidelines จะไม่ได้พูดถึงความถูกต้องอีกต่อไปในบริบทของ E‑A-T แต่เราสามารถสรุปได้ว่ามันสำคัญเพราะในเอกสารกล่าวถึงเรื่องนี้มากกว่า 50 ครั้ง

ดังนั้น คำแนะนำของเราคือการตรวจสอบเนื้อหาของคุณตามความเป็นจริง โดยเทียบกับแหล่งข้อมูลที่ Google เชื่อถือ เช่น Wikipedia และ Wikidata และคุณควรตรวจสอบให้แน่ใจด้วยว่าคุณกำลังอ้างถึงแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง

4. ได้รับการรีวิวเพิ่ม

Google แจ้งให้ผู้ประเมินคุณภาพให้ใช้บทวิจารณ์ออนไลน์เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับชื่อเสียงเกี่ยวกับธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Trust และ Authority มีแหล่งข้อมูลและบทวิจารณ์เกี่ยวกับชื่อเสียงของธุรกิจต่างๆมากมาย ซึ่งคุณสามารถลองค้นหาในเว็บไซต์เฉพาะเพื่อค้นหาคำวิจารณ์ได้ ผู้คนจำนวนมากเลิกยุ่งกับเว็บไซต์ประเภทนี้ และมักจะพยายามทำให้สิ่งต่างๆให้ง่ายขึ้นโดยเน้นที่เว็บไซต์ตรวจสอบแห่งใดแห่งหนึ่งโดยเฉพาะ นั่นคือ Better Business Bureau นั่นเอง เห็นได้ชัดว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะหลักเกณฑ์ของผู้ประเมินกล่าวไว้ว่า โปรดพิจารณาการให้คะแนนที่ต่ำมากบนเว็บไซต์ BBB เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับชื่อเสียงเชิงลบ

อย่างไรก็ตาม แนวความคิดของการวิจารณ์ BBB ว่าเป็นปัจจัยในการจัดอันดับได้รับการหักล้างไปแล้ว ควรมุ่งเน้นที่การได้รับรีวิวออนไลน์ในเชิงบวกมากขึ้นในเว็บไซต์ที่มีความสำคัญ เช่น เว็บไซต์ที่ผู้คนใช้และไว้วางใจในอุตสาหกรรมของคุณ โดยสำหรับร้านอาหาร อาจเป็นเว็บไซต์ TripAdvisor หรือแม้กระทั่งบล็อกอาหารท้องถิ่นยอดนิยม

5. จ้างผู้เชี่ยวชาญ

มีผู้เชี่ยวชาญมากมายในแต่ละอุตสาหกรรม ทำไมไม่จ้างพวกเขาให้เขียนบทสำหรับเว็บไซต์ของคุณล่ะ นี่เป็นข้อกำหนดที่จำเป็นมาก หากเว็บไซต์ของคุณครอบคลุมหัวข้อ YMYL ความเชี่ยวชาญอย่างเป็นทางการเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหัวข้อ YMYL เช่น คำแนะนำทางการแพทย์ การเงิน หรือกฎหมาย แต่การจ้างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างเป็นทางการนั้นไม่จำเป็นสำหรับหัวข้อที่ไม่ใช่ YMYL คุณสามารถจ้างผู้ที่มีผลงานที่ผ่านการพิสูจน์แล้วในด้านนั้นๆ หรือเป็นผู้ที่เป็นที่รู้จักกันดีในการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงในหัวข้อนั้นๆ

ความเชี่ยวชาญอาจจำเป็นน้อยลงสำหรับหัวข้อต่างๆ เช่น สูตรอาหารหรือเรื่องตลก หน้าเพจผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำอาหารอาจเป็นหน้าเว็บไซต์ของเชฟมืออาชีพ หรือเป็นวิดีโอจากผู้สร้างเนื้อหาผู้เชี่ยวชาญที่อัปโหลดวิดีโอการทำอาหารคุณภาพสูงบน YouTube และเป็นหนึ่งในผู้สร้างเนื้อหาสำหรับสูตรอาหารที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมมากที่สุด หากคุณไม่สามารถจ้างคนเหล่านี้ได้ คุณสามารถสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหรือให้พวกเขาเขียนโพสต์ลงในเว็บไซต์ของคุณได้เสมอ

รูปข้างล่างนี้เป็นแนวทางในการลงโทษของ Google

6. แสดงข้อมูลส่วนตัวของคุณ

คนส่วนใหญ่ไม่ชอบคุยโอ้อวด แต่เมื่อต้องแสดง E‑A-T ให้ Google เห็น นี่คือสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง หากคุณมีปริญญาเอก เคยพูดในการประชุมอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียง หรือได้รับรางวัลอันทรงเกียรติของอุตสาหกรรม คุณควรแสดงข้อมูลเหล่านี้ให้โลกและ Google รับรู้

มีสองจุดที่คุณสามารถทำได้อย่างแน่นอน อย่างแรกคือชีวประวัติผู้แต่งของคุณ

ส่วนหน้าที่คือหน้า “About” หรือ “Team” ของคุณ

จุดประสงค์ของการทำสิ่งนี้คือการแสดง Expertise, Authority, และ Trustworthiness ของคุณต่อ Google โดยคุณไม่ควรพูดหรือปรุงแต่งเรื่องเกินจริง

คุณอาจต้องพิจารณาในการใช้โค้ดหรือชุดคำสั่งทางคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้ Search Engine เข้าใจข้อมูลมากขึ้น (Schema Markup) เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสำเร็จและความเชี่ยวชาญของคุณในลักษณะที่มีโครงสร้างมากขึ้น

7. แสดงรายละเอียดการติดต่อ

ธุรกิจที่ไม่สามารถให้ข้อมูลการติดต่อและการสนับสนุนที่ลูกค้าต้องการได้เพียงพอ อาจถูกมองว่าไม่น่าไว้วางใจมากนัก โดยสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ YMYL 

สำหรับเว็บไซต์ที่มีเพจ YMYL เช่น ธนาคารออนไลน์ เราคาดหวังที่จะพบข้อมูลมากมายเกี่ยวกับตัวเว็บไซต์ รวมถึงข้อมูลการบริการลูกค้าที่ครอบคลุม โดยผู้ใช้ต้องการช่องทางในการถามคำถามหรือขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ในความคิดเห็นของเราธุรกิจที่ถูกกฎหมายควรแสดง ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล หรือ สิ่งที่ใช้เพื่อการติดต่อได้

แต่ถ้าหากธุรกิจของคุณนั้นเป็นแบบบล็อกเกอร์เดี่ยว หรือทำงานจากที่บ้านล่ะ

คุณไม่ต้องกังวลไป เพราะ นักประเมินคุณภาพของ Google จะไม่ลงโทษคุณ แค่เพียงเพราะคุณไม่แสดงที่อยู่บ้านหรือตอบรับลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง เพราะนั่นดูจะไม่มีเหตุผลมากพอ โดย Google’s Search Quality Rater Guidelines ระบุไว้ว่าระดับความน่าเชื่อถือที่คาดหวังนั้นขึ้นอยู่กับตัวเว็บไซต์เอง ตัวอย่างเช่น ประเภทเว็บไซต์ที่เป็นแนวตลก อาจไม่ต้องการข้อมูลการติดต่อมากเท่าเว็บไซต์จําพวกธนาคารออนไลน์ เป็นต้น

8. มีหน้าใน Wikipedia

มีการพูดถึง Wikipedia แค่เพียงเล็กน้อยใน Google’s Search Quality Rater Guidelines และผู้ประเมินคุณภาพได้รับคำสั่งให้พิจารณาเฉพาะสารานุกรมเพื่อช่วยในเรื่องการประเมินชื่อเสียง บทความข่าวและบทความ Wikipedia สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับบริษัท และอาจรวมถึงข้อมูลในด้านชื่อเสียง เช่น รางวัล การถูกพูดถึงในรูปแบบต่างๆ ข้อโต้แย้ง และประเด็นต่างๆ แต่มีปัญหาก็คือ การที่จะมีหน้าใน Wikipedia นั้นยากมาก

ยกเว้นแต่คุณจะเป็นผู้มีอำนาจหรือชื่อเสียงอย่างมากในแวดวงธุรกิจนั้น ซึ่งหมายความว่าธุรกิจของคุณมีการครอบคลุมแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นอิสระ เพราะฉะนั้นการจะมีหน้าอยู่ใน Wikipedia นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ขนาดทาง Ahrefs เองยังไม่มีหน้าใน Wikipedia เลย

อย่างไรก็ตาม หากคุณรู้สึกว่าธุรกิจของคุณดีพอในการได้รับหน้าบน Wikipedia มันก็คุ้มค่าที่จะลองทำเรื่องขอหน้าใน Wikipedia ดู

สำหรับคนอื่นที่เหลือ สิ่งที่ดีรองลงมาและสามารถทำได้คือการอ้างตัวคุณบนหน้า Wikipedia ที่มีอยู่

น่าเสียดายที่มันไม่ง่ายขนาดนั้น แม้จะแก้ไขหน้า Wikipedia ได้ แต่คำแนะนำในการโปรโมตตัวเองก็มักจะถูกลบออกไป แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองดูถ้าคุณมีทรัพยากรที่มีประโยชน์และสามารถเพิ่มคุณค่าให้กับบทความบางบทความใน Wikipedia ได้

9. ได้รับการกล่าวถึงมากขึ้น

การถูกกล่าวถึงในเว็บไซต์ธุรกิจที่มีชื่อเสียงสามารถช่วยเพิ่ม Authority ของคุณได้ โดยถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะผู้ตรวจวัดคุณภาพจะได้รับคำสั่งให้มองหาสิ่งเหล่านี้เมื่อทำการประเมินชื่อเสียงของเว็บไซต์และผู้เขียน 

ค้นหาบทวิจารณ์ ข้อมูลอ้างอิง คำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ บทความข่าว และข้อมูลที่เชื่อถือได้อื่นๆ ที่ถูกสร้างหรือเขียนโดยบุคคลเกี่ยวกับเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น เมื่อชื่อของคุณ Joshua Hardwick ถูกกล่าวถึงในบทความบรรณาธิการใน Search Engine Journal ซึ่งอาจช่วยในการแสดงถึง Authority ของเขาในหัวข้อ SEO ได้

ปัญหาคือการถูกการกล่าวถึงที่เชื่อถือได้นั้นค่อนข้างที่จะทำได้ยาก เพราะถึงแม้ว่าการกล่าวถึงจะเพิ่ม Authority ให้กับคุณ แต่คุณต้องมี Authority นั้นก่อนจึงจะถูกกล่าวถึงได้

โดยมีสองสิ่งที่คุณสามารถทำได้

อย่างแรกคือการเผยแพร่ข้อมูลเชิงลึกและข้อมูลในอุตสาหกรรมของคุณที่ผู้อื่นใช้อ้างอิง

ประการที่สองคือการใช้บริการอย่าง HARO เพื่อติดต่อกับนักข่าว

สรุป

E‑A-T มีความสำคัญสำหรับ SEO และ เป็นสิ่งที่คุณควรพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณครอบคลุมหัวข้อ YMYL

วิธีนี้มีสองส่วนด้วยกัน

  1. ถูกต้องตามกฎหมาย จ้างผู้เชี่ยวชาญ เอาใจใส่ลูกค้าของคุณ ทำสิ่งต่างๆให้เป็นจริง และมีคุณค่า
  2. แสดงความเชี่ยวชาญและคุณค่าของตัวคุณให้ Google เห็น

เป็นเรื่องที่ฟังดูง่าย และใช้เวลากับความพยายามแค่เพียงเล็กน้อย แต่หากคุณคิดว่าฟังดูยุ่งยาก โปรดจำไว้ว่า Google ไม่ได้เป็นหนี้คุณ การมีเว็บไซต์ไม่ได้แปลว่าคุณสมควรได้รับการจัดอันดับเสมอไป หากมีเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่ดีกว่าและเชื่อถือได้มากกว่า หรือมีคู่แข่งที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ดีกว่า Google จะพยายามส่ง Traffic ไปทางเว็บไซต์ของพวกเขา ไม่ใช่ของคุณ

นอกเหนือจากคำแนะนำทางศีลธรรมที่อาจไม่เป็นที่ต้องการ ยังเป็นที่สังเกตด้วยว่า Google นั้นมีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ของผู้ประเมินบ่อยครั้ง ดังนั้นเกณฑ์ E‑A-T จึงมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

Credit : Link

สวัสดี เราชื่อ พีค มีความสนใจเรื่อง SEO มาตั้งแต่ตอนอายุ 20 สมัยเข้ามหาลัยใหม่ๆ เนื่องจากเราเรียนบริหารธุรกิจ จึงได้เรียนเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ และมองว่า SEO คือหนึ่งในศาสตร์และศิลป์ที่มีความอ่อนไหว น่าสนใจ และดูมีอะไรในตัวของมันเองดี คนที่ทำต้องรอคอยเป็น เหมือนฝึกให้เรารู้จักที่จะรอคอยได้ ก็เลยศึกษา ทดลอง มาโดยตลอด มันสนุกมากนะ ได้เห็นกราฟวิ่งขึ้นวิ่งลง เติบโตไปเรื่อยๆ เปรียบเสมือนกับชีวิตที่มีสีสัน มีจังหวะที่คอยสลับไปมานั่นเอง