วันนี้จะพาทุกคนมารู้จักกับ Google Search Operators ซึ่งเป็นคำสั่งและอักขระพิเศษที่ใช้สำหรับกรองผลการค้นหา โดยจะช่วยโฟกัสผลการค้นหาให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น site: เป็น Operator ที่ใช้จำกัดผลลัพธ์ไว้เฉพาะผู้ที่มาจากไซต์ใดไซต์หนึ่งเท่านั้น ซึ่งมีความจำเพาะเจาะจงสูงมาก

ในบทความนี้คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Google Search Operators ทั้งหมด พร้อมวิธีการใช้โอเปอเรเตอร์เหล่านี้ สามารถใช้งานได้อย่างไรบ้าง หากพร้อมแล้วไปเรียนรู้ด้วยกันเลย
สารบัญเนื้อหา
รวม 44 รายการ Google Search Operators ที่ควรต้องทราบ
ในส่วนนี้จะเป็นคำอธิบายโดยย่อเกี่ยวกับการทำงานของ Google Search Operators ทั้งหมด 44 รายการ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
- ประเภทที่ 1 : Working – ใช้สำหรับการทำงานที่กำหนดไว้ และมีความแม่นยำสูงสำหรับผลการค้นหา
- ประเภทที่ 2 : Unreliable – Google ไม่ได้เลิกใช้งานอย่างเป็นทางการ แต่ผลลัพธ์การค้นหาไม่แม่นยำ ความผิดพลาดสูง
- ประเภทที่ 3 : Google ประกาศเลิกใช้อย่างเป็นทางการ
Working
Search Operator | ทำงานอย่างไร | ตัวอย่าง |
“ ” | ค้นหาผลลัพธ์ที่กล่าวถึง หรือวลีที่อ้างถึง | “steve jobs” |
OR | ค้นหาผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับ X หรือ Y | jobs OR gates |
| | เช่นเดียวกับ OR: | jobs | gates |
AND | ค้นหาผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับ X และ Y | jobs AND gates |
– | ค้นหาผลลัพธ์ที่ไม่ได้กล่าวถึงคำหรือวลี | jobs -apple |
* | ไวลด์การ์ดที่ตรงกับคำหรือวลลีใด ๆ | steve * apple |
( ) | สำหรับการจัดกลุ่มค้นหาหลายรายการ | (ipad OR iphone) apple |
define: | ใช้ในการค้นหาคำจำกัดความของวลีหรือคำ | define:entrepreneur |
cache: | ค้นหาแคชล่าสุดของหน้าเว็บ | cache:apple.com |
filetype: | ค้นหาไฟล์บางประเภท เช่น PDF | apple filetype:pdf |
ext: | เช่นเดียวกับ filetype:: | apple ext:pdf |
site: | ค้นหาผลลัพธ์จากเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่ง | site:apple.com |
related: | ค้นหาไซต์ที่เกี่ยวข้องกับโดเมนที่กำหนด | related:apple.com |
intitle: | ค้นหาหน้าที่มีคำเฉพาะในแท็กชื่อเรื่อง (title tag) | intitle:apple |
allintitle: | ค้นหาหน้าที่มีหลายคำในแท็กชื่อเรื่อง (title tag) | allintitle:apple iphone |
inurl: | ค้นหาหน้าที่มีคำเฉพาะใน URL | inurl:apple |
allinurl: | ค้นหาหน้าที่มีหลายคำใน URL | allinurl:apple iphone |
intext: | ค้นหาหน้าที่มีคำเฉพาะในเนื้อหา | intext:apple iphone |
allintext: | ค้นหาหน้าที่มีหลายคำในเนื้อหา | allintext:apple iphone |
weather: | ค้นหาสภาพอากาศในสถานที่ใดที่หนึ่ง | weather:san francisco |
stocks: | ค้นหาข้อมูลหุ้นสำหรับทิกเกอร์ | stocks:aapl |
map: | บังคับให้ Google แสดงผลแผนที่ | map:silicon valley |
movie: | ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์ | movie:steve jobs |
in | แปลงหน่วยหนึ่งไปอีกหน่วยหนึ่ง | $329 in GBP |
source: | ค้นหาผลลัพธ์จากแหล่งเฉพาะใน Google News | apple source:the_verge |
before: | ค้นหาผลลัพธ์ก่อนวันที่กำหนด | apple before:2007-06-29 |
after: | ค้นหาผลลัพธ์หลังจากวันที่ระบุ | apple after:2007-06-29 |
SIDENOTE : คุณยังสามารถใช้ Google Search Operators ที่เป็นอักขระพิเศษ “ _ “ สำหรับใช้ในการเติมข้อความอัตโนมัติของ Google
Unreliable
Search Operator | ทำงานอย่างไร | ตัวอย่าง |
#..# | ค้นหาช่วงห่างของตัวเลข | iphone case $50..$60 |
inanchor: | ค้นหาหน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับซึ่งมี anchor text โดยเฉพาะ | inanchor:apple |
allinanchor: | ค้นหาหน้าที่มีลิงก์ย้อนกลับที่มีคำหลายคำใน anchor text | allinanchor:apple iphone |
AROUND(X) | ค้นหาหน้าเว็บที่มีคำหรือวลีสองคำภายใน X คำของกันและกัน | apple AROUND(4) iphone |
4loc: | ค้นหาผลลัพธ์จากพื้นที่ที่กำหนด | loc:”san francisco” apple |
location: | ค้นหาข่าวจากสถานที่บางแห่งใน Google News | location:”san francisco” apple |
daterange: | ค้นหาผลลัพธ์จากช่วงวันที่ ที่กำหนด | daterange:11278-13278 |
Not working (ประกาศอย่างเป็นทางการจาก Google)
Search Operator | ทำงานอย่างไร | ตัวอย่าง |
~ | รวมคำพ้องความหมายในการค้นหา ลดลงในปี 2013 | ~apple |
“+” | ค้นหาผลลัพธ์ที่กล่าวถึงคำหรือวลีที่ตรงทั้งหมด ลดลงในปี 2011 | jobs +apple |
inpostauthor: | ค้นหาโพสต์โดยผู้เขียนเฉพาะในการค้นหาบล็อกของ Google ที่เลิกใช้งาน | inpostauthor:”steve jobs” |
allinpostauthor: | เหมือนกับ inpostauthor: แต่ไม่ต้องใส่เครื่องหมายคำพูด | allinpostauthor:steve jobs |
inposttitle: | ค้นหาโพสต์ที่มีคำบางคำในชื่อเรื่องในการค้นหาบล็อกของ Google ที่หยุดให้บริการ | inposttitle:apple iphone |
link: | ค้นหาหน้าที่เชื่อมโยงไปยังโดเมนหรือ URL เฉพาะ ลดลงในปี 2017 | link:apple.com |
info: | ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเพจหรือเว็บไซต์ที่ต้องการ ลดลงในปี 2017 | info:apple.com |
id: | ทำงานเช่นเดียว info: | id:apple.com |
phonebook: | ค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของใครบางคน ลดลงในปี 2010 | phonebook:tim cook |
# | ค้นหาแฮชแท็กใน Google+ ลดลงในปี 2019 เมื่อ Google+ ปิดตัวลง | #apple |
11 วิธีการใช้ Google Search Operators
มาดูวิธีสำหรับการนำโอเปอเรเตอร์เหล่านี้ไปใช้งานจริง ๆ กันเลยดีกว่า ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถดูการใช้งานเพิ่มเติมจากวิดีโอด้านล่างนี้ได้เลย
วิธีที่ 1 ค้นหาปัญหาสำหรับการจัดทำดัชนี
มีวิธีการตรวจสอบการจัดทำดัชนีเว็บไซต์หลากหลายวิธี ตัวอย่างเช่น หากใช้ Google Search Operators อย่าง filetype: จะทำให้เห็นว่าบริษัท 3D printing นี้มีการจัดทำดัชนีสำหรับไฟล์ที่เป็น PDF ค่อนข้างน้อย นอกจากนั้นยังสามารถดูภาพรวมของเว็บไซต์ในการค้นหาด้วย site:

ไฟล์ PDF ที่ได้รับการจัดทำดัชนีแล้ว จะสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องกรอกรายละเอียดใด ๆ

ดังนั้นการจัดทำดัชนีเว็บไซต์จึงเป็นปัจจัยสำคัญของเว็บไซต์ ที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าถึงได้มากขึ้น

ซึ่งเราขอแนะนำว่าควรเพิ่มแท็ก x-robots noindex tag เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดทำดัชนีนี้
วิธีที่ 2 ค้นหาและวิเคราะห์คู่แข่งของคุณ
แนะนำว่าให้ใช้โอเปอเรเตอร์ related: เพื่อค้นหาเว็บไซต์คู่แข่งซึ่งขายสินค้าชนิดเดียวกัน หรือทำคอนเทนต์แนวเดียวกัน

จากนั้นสามารถใช้ Google Search Operators อื่น ๆ เพื่อตรวจสอบเว็บไซต์เพิ่มเติมได้ เช่น หากค้นหา site:moz.com จะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วว่ามีการเผยแพร่เนื้อหาจำนวนมากในบล็อก ใน Help section และ “SEO Learning Center”

ถ้าทำการปรับเปลี่ยนโอเปอเรเตอร์เป็น site: เพื่อมุ่งเน้นไปที่ศูนย์การเรียนรู้ จะช่วยให้เข้าใจประเภทของเนื้อหาที่ได้เผยแพร่ และทราบว่าเนื้อหานั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง

ในกรณีดังกล่าวนี้ดูเหมือนว่าจะมีโพสต์ประเภทคำจำกัดความ (Definition-type) เป็นจำนวนมาก ซึ่งหากเพิ่ม intitle:(“what is”|”what are”) ในการค้นหาจะเห็นหน้าที่เกี่ยวข้องกันมากถึง 86 หน้า

แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ Google ไม่สามารถบอกเราได้ คือ หน้าเว็บเหล่านี้มีการเข้าชมทั่วไปหรือไม่ หากต้องการทราบข้อมูลในส่วนนี้ จะต้องใช้เครื่องมือบุคคลที่สาม (Third-party tool)
ซึ่งสามารถใช้งานเครื่องมือ Ahrefs ได้ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
- ไปที่ Site Explorer
- กรอกโดเมนหรือซับเซคชั่นของเว็บไซต์ผู้แข่ง
- ตรวจสอบในส่วนของรายงาน Top pages

นอกจากนั้นยังสามารถใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Traffic Checker ในการตรวจสอบหน้าเว็บไซต์ทีละหน้าได้

ซึ่งการใช้ทั้งสองวิธีดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าโพสต์ประเภทคำจำกัดความจำนวนมากได้รับการเข้าชมทั่วไปมากกว่า 20,000 ครั้งต่อเดือน บ่งบอกได้ว่าเป็นเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งภายในเว็บไซต์ของคุณก็ควรจะมีเนื้อหานี้เช่นเดียวกัน เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าชมให้สูงขึ้น

วิธีที่ 3 ค้นหาโอกาสในการสร้าง Guest Post
เป็นอีกหนึ่งเทคนิคในการสร้าง Backlinks เพื่อเชื่อมต่อกับเว็บไซต์หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น หากคุณมีเว็บไซต์เกี่ยวกับกาแฟ คุณสามารถค้นหาคำอย่างเช่น
coffee intitle:”write for us” inurl:write-for-us: ได้ตามตัวอย่างโพสต์ด้านล่างนี้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้คนจำนวนมากใช้วิธีนี้กัน ส่งผลให้คุณได้รับผลการค้นหาที่เหมือน ๆ กับคนอื่น ซึ่งถ้าอยากได้อะไรที่แปลกใหม่กว่า แนะนำว่าให้ค้นจาก serial guest blogger แทน จะทำให้เจอเนื้อหาใหม่ที่ไม่ค่อยซ้ำกับคนอื่น
ซึ่งสามารถใช้โอเปอเรเตอร์นี้ในการค้นหา :
[topic] inurl:author/[firstname-lastname]
ตัวอย่งเข่น การค้นหาเว็บไซต์ที่ Ryan Stewart ได้เขียนและเผยแพร่เอาไว้
![[topic] inurl:author/[firstname-lastname]](https://thekalling.com/wp-content/uploads/2023/08/operator-firstname-lastname-1024x665.png)
และยังสามารถใช้การค้นหารูปแบบนี้ได้ใน Ahrefs’ Content Explorer โดยค้นหาว่า
[topic] author:[firstname lastname”]
![[topic] author:[firstname lastname"]](https://thekalling.com/wp-content/uploads/2023/08/author-firstname-lastname-1024x866.png)
ประโยชน์ของการใช้ Content Explorer บน Google คือ สามารถคัดกรองผลลัพธ์เพื่อเน้นไปที่เว็บไซต์มีคุณภาพสูงได้ นอกจากนี้ไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่จะใช้ /author/firstname-lastname/ footprint ได้
ตัวอย่างเช่น เราสามารถคัดกรองโพสต์จากเว็บไซต์ที่มีคะแนนโดเมน (DR) สูงกว่า 30 คะแนนได้ และมีปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์โดยเฉลี่ยอย่างน้อย 5,000 ครั้งต่อเดือน

SIDENOTE : การใช้ชื่อเป็นโอเปอเรเตอร์ในการค้นหา อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ในทางบวกปลอมได้ ขึ้นอยู่กับว่าชื่อของบุคคลนั้น ๆ พบบ่อยมากแค่ไหน
นอกจากนั้นยังสามารถเน้นผลลัพธ์ค้นหาจากโดเมนที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของคุณได้ เพื่อให้สามารถจัดลำดับความสำคัญในการรับ Backlinks จากเว็บไซต์อื่น ๆ ได้มากขึ้น

วิธีที่ 4 ค้นหาโอกาสในหน้าทรัพยากร (Resource Page)
เชื่อไหมว่าหน้าทรัพยากรจะช่วยดูแลจัดการและเชื่อมโยงไปยังแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในแต่ละเนื้อหาในเว็บไซต์ ค้นหาหน้าทรัพยากรนี้ใน Google โดยใช้โอเปอเรเตอร์ต่อไปนี้ :
[topic] intitle:resources inurl:resources
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น หากคุณต้องการสร้างลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยมที่เกี่ยวกับ “กาแฟ” สามารถค้นหาสิ่งเหล่านี้ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องกรองแหล่งข้อมูลเหล่านี้อีกที เพือ่ให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากที่สุด
และนี่คือวิธีการที่ง่ายมาก ๆ สำหรับการค้นหาหน้าทรัพยากร สามารถทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ไปที่ Ahrefs’ Site Explorer
- ป้อนโดเมนของเว็บไซต์คู่แข่งลงไป
- ไปที่รายงาน Backlinks
- ทำการกรอง Backlinks ด้วย “resource” ใน Ref. page URL

วิธีที่ 5 ค้นหาไฟล์ที่ไม่ต้องการใน Google’s index
หากคุณไม่ต้องการให้ Google จัดทำดัชนีทุกไฟล์ที่คุณอัปโหลดลงเว็บไซต์ คุณสามารถทำได้ เช่น ถ้าคุณมีไฟล์ PDF ที่อยู่ในส่วนของ Lead Magnet หรือการอัปเกรดเนื้อหา ซึ่งเป็นไฟล์ที่ไม่ควรให้ผู้อื่นค้นเจอบน Google สามารถใช้ Operator filetype: เพื่อตรวจสอบสิ่งเหล่านี้

ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวอย่างภาพด้านบนนี้ เว็บไซต์มีไฟล์ PDF หนึ่งรายการที่ได้รับการจัดทำดัชนี โดยเป็นแหล่งข้อมูลเก่าจากปี 2017 ถ้าไม่อยากให้ผู้คนค้นพบไฟล์นี้ ให้ไปที่การตั้งค่าไฟล์ และเลือก noindex พร้อมตอบกลับ x-robots header response
วิธีที่ 6 ค้นหาที่อยู่อีเมลของบุคคลที่ต้องการติดต่อ
ส่วนใหญ่ผู้คนจะชอบแชร์ที่อยู่อีเมลของตนเองบน Twitter ดังนั้นสามารถใช้โอเปอเรเตอร์ในการค้นหาทวีตเหล่านั้น
ตัวอย่างเช่น หากต้องการค้นหาที่อยู่อีเมลของ Tim Soulo สามารถค้นหาโพสต์ในทวีตของเขาที่มีคำว่า “email” และ ”gmail.com” หรือ “ahrefs.com” ซึ่งจะปรากฏที่อยู่อีเมลของเขาในทันที

วิธีที่ 7 หาโอกาสในการเพิ่มลิงก์ภายใน
การเชื่อมโยงภายในไปยังเนื้อหาสำคัญจากหน้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องบนเว็บไซต์ สามารถเพิ่มการเข้าชมให้มากยิ่งขึ้น และช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับการค้นหาสูงขึ้นได้
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าต้องการเพิ่มลิงก์ภายในไปยังรายการเคล็ดลับ SEO ให้ค้นหาใน Google ว่า site:ahrefs.com/blog “SEO tips” จะพบบล็อกที่มีคำว่า “เคล็ดลับ SEO” ในเนื้อหา

ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับผลลัพธ์ในอันดับแรกก็ได้ เนื่องจากจุดประสงค์ของคุณคือการสร้างลิงก์ภายใน ซึ่งยังมีผลลัพธ์อื่น ๆ อีก 99 รายการที่กล่าวถึงเคล็ดลับ SEO โดยสามารถใช้ในการเชื่อมโยงได้
ตัวอย่างเช่น คำแนะนำการสร้างเนื้อหา SEO ของเรามีการกล่าวถึง “เคล็ดลับ SEO” ซึ่งไม่มีลิงก์ภายในอยู่ จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มลิงก์ภายในลงไปนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การใช้โอเปอเรเตอร์การค้นหาเพื่อค้นหาโอกาสในการเพิ่มลิงก์ภายใน ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง คือ ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการกล่าวถึงที่เชื่อมโยงและไม่เชื่อมโยง อาจจะทำให้คุณพบกับเนื้อหาเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ที่คุณได้เพิ่มลิงก์ภายในไปแล้ว
ตัวอย่างเช่น การกล่าวถึง “เคล็ดลับ SEO” ในบทความ SEO techniques

แต่หากเราพบการกล่าวถึงนั้นบนเพจ จะเห็นได้ว่ามีการเพิ่มลิงก์ภายในเชื่อมต่อไปเรียบร้อยแล้ว

แนะนำว่าหากอยากให้สะดวกสบายมากขึ้น ให้ทดลองใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Ahrefs Webmaster Tools จะช่วยให้ค้นหาโอกาสเพิ่มลิงก์ภายในได้ง่ายขึ้น ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนดังนี้
- รวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ด้วย Site Audit
- ไปที่เครื่องมือ Internal Link Opportunities ในการตรวจสอบไซต์
- เพิ่ม URL ของหน้าเป้าหมายลงในช่องค้นหา
- เลือก “Target Page” จากเมนูแบบเลื่อนลงถัดจากช่องค้นหา
- จากนั้นให้กดปุ่มย้อนกลับ

ซึ่งเมื่อเสร็จขั้นตอนจะปรากฏหน้านี้ขึ้นมา

โดยเป็นข้อมูลที่บอกเกี่ยวกับหน้าแหล่งที่มา ตำแหน่งสำหรับการเพิ่มลิงก์ว่าควรเพิ่มตรงไหนดี และบอกอีกด้วยว่าควรเชื่อมโยงลิงก์ไปยังหน้าใด ที่เป็นหน้าเป้าหมาย
วิธีที่ 8 ค้นหารายการที่ดีที่สุด ซึ่งยังไม่ได้กล่าวถึงในแบรนด์ของคุณ
หากคุณใช้เครื่องมือการตลาดอย่าง ConvertKit ต้องค้นหา “เครื่องมือการตลาดผ่านอีเมลที่ที่สุด” ใน Google ซึ่งจะพบผลลัพธ์หลายพันรายการที่แสดงรายการตัวเลือกในอันดับต้น ๆ ให้กับคุณ

ด้วยวิธีการนี้จะทำให้คุณสามารถติดต่อผู้เขียนได้ เพื่อขอให้เพิ่มการกล่าวอ้างถึงคุณในโพสต์ หรือบทความของพวกเขา ซึ่งการตรวจสอบการอ้างถึงคุณสามารถใช้โอเปอเรเตอร์นี้ได้-[your business name]:

หรือหากคุณต้องการวิธีที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น สามารถใช้ Content Explorer เครื่องมือฟรีของ Ahrefs ได้เลย แต่หากไม่คุ้นเคยกับเครื่องมือนี้ สามารถใช้โอเปอเรเตอร์นี้ในการค้นหาแทนได้ title:”best [whatever]” -[yourbrand] ก็จะพบผลลัพธ์รายการต่าง ๆ บนหน้าเพจที่ไม่ได้อ้างอิงหรือกล่าวถึงแบรนด์ของคุณ
ตัวอย่างเช่น
การค้นหารายการเครื่องมือการตลาดผ่านอีเมลที่ดีที่สุด ซึ่งไม่ได้กล่าวถึง ConvertKit จะมีผลลัพธ์ทั้งหมด 3,182 รายการเลยทีเดียว

การใช้งาน Content Explorer เป็นเครื่องมือที่สะดวกกว่าการหาใน Google เนื่องจากจะสามารถกรองผลลัพธ์ได้ตามความต้องการ เช่น การใช้ DR ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์หรือเพจ เป็นตัวกรองสำหรับการค้นหา และสามารถ Export ข้อมูลออกมาได้อย่างไม่ยุ่งยาก
ตัวอย่างเช่น
หากคุณเลือกตัวกรองเว็บไซต์ โดยใช้ค่า DR 30 คะแนนขึ้นไป สำหรับการตรวจสอบหนึ่งหน้าในหนึ่งโดเมน จะทำให้ลดการตรวจสอบทั้งหมดจาก 3,182 หน้า เหลือเพียงแค่ 156 หน้า เท่านั้น ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วแม่นยำ และประหยัดเวลามากกว่า

ซึ่งนี่เป็นจำนวนเว็บไซต์ที่สามารถจัดการได้ง่ายมากกว่าในการตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลที่สนใจ
วิธีที่ 9 ค้นหาเว็บไซต์ที่มีการรีวิวคู่แข่งเรียบร้อยแล้ว
มีวิธีการง่าย ๆ ในการค้นหารีวิวของคู่แข่ง ซึ่งสามารถใช้ Google Search Operators นี้ได้เลย
allintitle:review ([competitor 1] OR [competitor 2])
ตัวอย่างเช่น
หากต้องการค้นหาบทวิจารณ์ของคู่แข่ง ConvertKit ก็ใช้วิธีนี้ค้นหาได้ไม่ยาก
![allintitle:review ([competitor 1] OR [competitor 2])](https://thekalling.com/wp-content/uploads/2023/08/find-websites-that-have-reviewed-competitors-1024x106.png)
จากนั้นสามารถเพิ่มตัวดำเนินการอย่าง after: ลงไปต่อท้าย เพื่อค้นหาโพสต์ที่เผยแพร่ล่าสุด ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่การเสนอขายเว็บไซต์ และยังเป็นเว็บไซต์ที่ยังมีการใช้งานอยู่

นอกจากนั้นคุณสามารถใช้แถบเครื่องมือ SEO ของ Ahrefs เพื่อดาวน์โหลดผลการค้นหาได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้สามารถทำได้ผ่าน Content Explorer เนื่องจากคุณสามารถกรองและสนำข้อมูล Export ออกได้ง่ายมาก ๆ
ต่อไปนี้เป็นวิธีดำเนินการค้นหาแบบเดียวกัน ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เลือก “In title” ซึ่งเป็นโหมดในการค้นหา
- ค้นหาคำวิจารณ์ review (mailchimp OR aweber)
- กรองผลการค้นหาหนึ่งหน้าต่อโดเมน

ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ 2,948 รายการ เป็นผลลัพธ์ที่ค่อนข้างเยอะมาก ๆ ต่อมาจะต้องทำการจัดลำดับความสำคัญของรายการ โดยการกรองหน้าที่เผยแพร่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาบนเว็บไซต์ที่มีการเข้าชมจากการค้นหาอย่างน้อย 1,000 ครั้งต่อเดือน

รับการแจ้งเตือนสำหรับรีวิวคู่แข่งรายใหม่
เพียงตั้งค่าการแจ้งเตือน “Mentions” ใหม่ ใน Ahrefs Alerts ซึ่งสามารถใช้การค้นหาเดียวกันจาก Content Explorer และตัวกรองให้เลือกเป็น DR กัย Domain traffic

วิธีที่ 10 ค้นหาคำถามใน Quora ที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบคำถามนั้น ๆ
สำหรับ Quora เป็นเว็บไซต์ที่ผู้คนใช้ในการถามคำถาม และจะมีผู้คนเข้ามาตอย โดยคำตอบที่ดีที่สุดจะถูกจัดเอาไว้ในส่วนด้านบนของช่องตอบตำถาม
แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งถาม-ตอบ เท่านั้นที่นี่ยังเหมาะสำหรับการแนะนำแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพียงแค่คุณมีส่วนร่วมในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับคุณเท่านั้น
ตัวอย่างด้านล่างนี้จะเห็นได้ว่ามีผู้ดูคำตอบของผู้ตอบคำถามมากกว่า 2 ล้านครั้ง และยังมีอัตราการเข้าชมเฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า 25,000 ครั้ง

แต่อย่างไรก็ตามการใช้งาน Quora ก็มีข้อเสียบ้างเล็กน้อย ซึ่งคุณจะสามารถค้นหาได้เพียงหัวข้อเดียวในแต่ละครั้งเท่านั้น เนื่องจากทางเว็บไซต์นี้จะใช้คำถามที่อยู่ในรูปโครงสร้าง URL แนะนำว่าให้คุณใช้ Operator นี้ในการค้นหาจะเหมาะสมกว่า site:quora.com inurl:([topic 1] | topic 2)
ตัวอย่างเช่น
หากคุณมีเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย สามารถค้นหาข้อมูลในลักษณะนี้ได้

แต่หากคุณใช้งานและเป็นสมาชิกของ Ahrefs สามารถรวมสิ่งนี้เข้ากับแถบเครื่องมือ SEO ได้เลย เพื่อซ้อนทับการประมาณปริมาณการเข้าชมบน SERP ซึ่งสามารถเน้นไปที่การตอบคำถามที่มีการเข้าชมทั่วไปอยู่แล้ว

ซึ่งเชื่อไหมว่ามีวิธีที่เร็วกว่านี้ด้วย แนะนำให้ทดลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ไปที่ Ahrefs’ Site Explorer
- เข้าไปที่ quora.com
- ไปที่รายงาน “Top pages”
- คัดกรองผลลัพธ์การค้นหาด้วย URL ที่มีคำเฉพาะ
จะได้ผลลัพธืรายการคำตอบของ Quora ที่เกี่ยวข้องกับคำถาม โดยจัดเรียงตามปริมาณการค้นหารายเดือนจากสูงไปต่ำ

ตัวอย่างเช่น
หนึ่งในคำถามข้างต้น ได้ถามว่าควรผสมโปรตีนเขย่ากับนมหรือน้ำแบบไหนจะดีกว่า ซึ่งมีการเข้าชมประมาณ 792 ครั้งต่อเดือน หากคุณสามารถตอบคำถามนี้ได้ดี และได้รับคะแนนโหวตสูง จะเพิ่มโอกาสให้ผู้คนหลายร้อยคนเห็นคำตอบของคุณในทุก ๆ เดือน เมื่อพวกเขาถามคำถามนี้ นอกจากนั้นคุณสามารถใส่ลิงก์ในคำตอบเพื่อให้เชื่อมโยงมาที่เว็บไซต์ของคุณได้อีกด้วย
วิธีที่ 11 ค้นหาความเร็วของคู่แข่งในการเผยแพร่โพสต์ใหม่
เริ่มจากการรวม Operator ระหว่าง site: กับ before: และ/หรือ after: เข้าด้วยกัน เพื่อตรวจสอบดูว่าคู่แข่งรายใดได้เผยแพร่เนื้อหามากน้อยเพียงใดในช่วงเวลาที่กำหนด
ตัวอย่างเช่น จำนวนโพสต์ใน SEO blog ที่เผยแพร่ในเดือนธันวาคม ปี 2022 มีดังนี้

และนี่คือจำนวนโพสต์ที่เผยแพร่ทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในปี 2022

แต่อย่างไรก็ตามโอเปอเรเตอร?นี้ไม่ได้มีความแม่นยำ 100% เสมอไป เนื่องจากมีหน้าเว็บไซต์ที่มีการอัปเดตใหม่ตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น การค้นหาข้อมูลด้านล่างนี้ จะแสดงโพสต์ในวันที่ 25 มกราคม 2022 แนบเข้ามาด้วย

แต่ถ้าปลั๊ก URL ของโพสต์นั้นเข้ากับ Ahrefs’ Site Explorer จะเห็นว่ามันดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิคมาตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีมาก่อนปี 2022

หากคุณเป็นผู้ใช้งาน Ahrefs และต้องการวิธีที่แม่นยำยิ่งขึ้นในการดูความถี่สำหรับการเผยแพร่ข้อมูลของคุ๋แข่ง แนะนำให้เรียกใช้ site: การค้นหาใน Content Explorer และใช้ตัวกรอง “Pages published once”

สรุป
สำหรับโอเปอเรเตอร์การค้นหาสูงสุดของ Google นั้นทรงพลังมาก ๆ สามารถใช้ในการค้นหาได้อย่างแม่นยำ และได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการที่สุด เพียงแต่คุณต้องทราบวิธีการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึง SEO แนะนำว่าควรใช้ site:, intitle: และ inurl: แต่ไม่แนะนำให้ใช้ allintitle: หรือโอเปอเรเตอร์อื่น ๆ ที่ยังมีความคลุมเครือ เพราะฉะนั้นการเลือกใช้โอเปอเรเตอร์ต้องเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการ และเรียนรู้วิธีการใช้งานได้จากบทความนี้เลย