วิธีทำ SEO เพื่อประสิทธิภาพ สำหรับผู้เริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์

เนื่องจากหลายๆธุรกิจได้หันมาให้บริการลูกค้าทางออนไลน์เป็นหลัก และลูกค้าหน้าร้านมีจำนวนลดลง จึงทําให้มูลค่าของ SEO มีมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆให้ความสนใจกับประสบการณ์ออนไลน์ของตนเองอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น และจะมีวิธีอย่างไรให้พวกเขาสามารถเข้าแข่งขันบนอินเทอร์เน็ตได้

บทความนี้จะให้คำแนะนำสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของการเข้าถึงและ Traffic แบบ Organic โดยการจัดหาทางออกสําหรับปัญหาที่อาจพบใน SEO ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่ไม่เคยใช้ SEO มาก่อน และผู้ที่ต้องการมีประสบการณ์กับ SEO มากขึ้น โดยมีเป้าหมายคือการได้รับการเข้าชมมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ธุรกิจ

สถานการณ์ที่ 1 คุณไม่รู้ว่า Keyword ใดบ้างที่คุณควรนํามาจัดอันดับ

การกำหนด Keyword ที่เหมาะสมเป็นหัวใจหลักของการได้รับผลตอบแทนจาก SEO โดยคุณควรที่จะกําหนด Keyword ที่มีค่าและมีความเกี่ยวข้องมากที่สุดให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของคุณ

จะทราบได้อย่างไรว่าควรใช้ Keyword ใด

  • Keyword ควรเกี่ยวข้องกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการของคุณ
  • ควรมีปริมาณการค้นหามากพอที่จะกำหนดเป้าหมายผู้ชมให้คุ้มค่า ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ, ความเฉพาะเจาะจงของผลิตภัณฑ์, และบริการของคุณ รวมไปถึงฤดูกาลต่างๆ การใช้วิจารณญาณของคุณเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องนี้ โดยความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมและตลาด ของคุณจะช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมาย Keyword ที่เหมาะสมกับความต้องการการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

เครื่องมือในการทําวิเคราะห์ Keyword ของคุณ

  • Moz Keyword Explorer → เครื่องมือวิจัยที่สามารถเข้าถึง Keyword นับล้าน เพื่อช่วยในการสร้างรายการ Keyword ของคุณ โดยคุณสามารถดูคำแนะนำ Keyword, การจัดอันดับเว็บไซต์ในปัจจุบัน, และตัวชี้วัดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ Keyword นั้น
  • Ahrefs ‘Keyword Explorer‘ หรือ ‘Keyword Generator’ → เครื่องมือเหล่านี้ดีมากสำหรับการค้นหา Keyword ใหม่เพื่อกำหนดเป้าหมาย, รูปแบบต่างๆ, ดูปริมาณการค้นหา, การสร้างแนวคิด Keyword, และอื่นๆ
  • Google Trends → เป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้คุณสามารถดูแนวโน้มการค้นหาสำหรับ Keyword หลักที่คุณเลือก สามารถเปรียบเทียบและดูแนวโน้มการค้นหารายเดือนในหัวข้อนั้นๆ โดยการดูแนวโน้มเหล่านี้จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการเลือก Keyword ที่ไม่ถูกต้อง และในบางครั้ง Keyword บางคําอาจมีปริมาณการค้นหารายเดือนเฉลี่ยสูงกว่าเมื่อเทียบกับ Keyword อื่นๆ แต่ในขณะเดียวกัน Keyword อื่นๆอาจได้รับความสนใจในการค้นหาสูงอย่างกะทันหันจากปัจจัยบางอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานั้น
  • Answer The Public → จะช่วยให้คุณเห็นคำถามที่ถูกค้นหาซึ่งใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดของคุณ โดยจะสร้างแนวคิดเกี่ยวกับเนื้อหา รวมทั้งให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับประเภทของสิ่งที่ผู้คนค้นหารอบๆ Keyword ของคุณ
  • Google Search Console → เครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณติดตามประสิทธิภาพในผลการค้นหาทั่วไปของเว็บไซต์คุณ และเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีเมื่อพูดถึง SEO สามารถใช้เพื่อค้นหา Keyword ที่เว็บไซต์ของคุณกำลังจัดอันดับอยู่ และ Keyword ใดที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นหรือแย่ลงในช่วงระยะเวลานั้น

หลังจากนี้ ให้คุณนํา Keyword ที่ได้มาจําแนกโดยการลบข้อมูลที่ซ้ำ และคัดกรองออก เพื่อเก็บแค่ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายในรายการ

คุณควรทำอย่างไรเมื่อมีรายการ Keyword ที่ต้องการแล้ว

เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณเพื่อเก็บรวบรวม Keyword ไว้ ซึ่งรวมถึง

1. อัปเดตข้อมูล Metadata บน On-Page

  • Page Titles = ควรมีเอกลักษณ์ มีความชัดเจน มีความเกี่ยวข้องกัน และต้องมีความยาวไม่เกิน 60 อักขระ เพื่อไม่ให้ถูกตัดออกในผลการค้นหา
  • Meta Descriptions = รวมคียเวิร์ดที่สําคัญโดยต้องไม่มีการใช้ Keyword ที่ผิด เนื่องจากเมื่อคุณรวมคีย์เวิร์ดจำนวนมากเข้าด้วยกัน ทําให้การตรวจสอบอาจผิดพลาดและส่งผลกระทบต่อข้อมูลของคุณได้ ควรมีความยาวไม่เกิน 150-160 อักขระเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกตัดออก
  • H1s = สิ่งนี้คือส่วนหัวของ On-Page ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะแสดงที่ด้านบนของหน้า ซึ่งควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหน้านั้น เนื่องจากมีการจัดโครงสร้างให้กับบทความและบริบทให้แก่ Google และผู้ใช้งาน

2. สร้างเนื้อหาใกล้เคียงกับ Keyword

เครื่องมืออย่าง Answer The Public จะช่วยให้คุณมีแนวคิดเกี่ยวกับคำถาม หรือหัวข้อสำคัญที่ถามเกี่ยวกับตัวคีย์เวิร์ดได้ โดยคุณสามารถสร้างบล็อกโพสต์จากสิ่งเหล่านั้นได้ แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า Keyword ของคุณมีอยู่ในชื่อเรื่อง และเข้าใจได้ง่ายต่อผู้ใช้งาน Internal Linking เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการจัดอันดับเพจ โดยควรลิ้งก์หน้าที่สำคัญ กับหน้าที่คุณต้องการให้มีอันดับที่ดี  การส่ง Link Equity ระหว่างหน้าเหล่านี้ะเป็นสัญญาณบอก Google ว่าหน้าเหล่านี้ควรค่าแก่การแสดงต่อผู้ใช้

สถานการณ์ที่ 2 ถ้าอันดับของคุณลดลง

คุณจะสังเกตเห็นได้ว่า ถ้าเว็บไซต์ของคุณหลุดออกจากผลการค้นหา สาเหตุอาจมาจากคำที่สำคัญบางคำ อย่างไรก็ตามนี่อาจไม่ใช่เหตุผลจริงๆ เพราะในความเป็นจริงแล้วเหตุผลนี้อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยถ้าเทียบกับสาเหตุอื่นๆอีกหลายประการ (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความของคุณ Tom เกี่ยวกับการลดลงของ Organic Traffic และบทความเกี่ยวกับการใช้ Flowchart ในการวิเคราะห์จำนวนคนเข้าเว็บไซต์) เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เราจะมาดูรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเลือก 2-3 ตัวที่สามารถตรวจสอบปัญหาได้และเป็นพื้นฐานสำหรับการจัดอันดับ

ระบุปัญหาได้อย่างไร

  • Spot Check – Keyword ที่ควรจะทําให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดี แต่จู่ๆ เว็บไซต์ของคุณกลับไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ดี
  • “Average Position” ใน Google Search Console ตัวชี้วัดนี้แสดงอันดับโดยเฉลี่ยของเว็บไซต์ของคุณโดยรวม เช่นเดียวกับการมีตารางที่แสดงอันดับของคำ Keyword ต่างๆ
  • Rank Trackers เครื่องมือที่เรียกว่า STAT โดยที่คุณต้องป้อนรายการ Keyword ลงไป หลังจากนั้นคุณจะสามารถติดตามรายละเอียดภายในสองถึงสามวัน เมื่อประมวลผลเสร็จแล้ว คุณจะสามารถเข้าถึงข้อมูลล่าสุดที่เกี่ยวกับการจัดอันดับของ Keyword ว่ามีหน้าใดบ้าง และบอกถึงประสิทธิภาพที่เปลี่ยนไป นี่เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการดูว่า Keyword ใดมีอันดับลดลงหรือเพิ่มขึ้น

วิธีแก้ไขปัญหา

  1. ตรวจสอบ robots.txt และแผนผังเว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่า Google สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ และไม่มีข้อผิดพลาดในแต่ละหน้า โดยสิ่งนี้ถือเป็นการตรวจสอบด้านเทคนิคด้วย
  2. Technical SEO Audit คือการแสดงปัญหาทางเทคนิคที่อาจเกิดขึ้นบนเว็บไซต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับ สามารถทำได้โดยเรียกใช้การรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของคุณ จาก Screaming Frog หรือ Deepcrawl เป็นต้น สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้คือ กลุ่มหน้า 404, Noindex, คำสั่ง Nofollow, Canonnical tags ที่ไม่ถูกต้อง, การขาด Internal Linking ฯลฯ
  3. Errors และ Warnings เจ้า Google Search Console จะแสดงข้อผิดพลาดและคำเตือนทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ โดยคุณควรตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของหน้าเว็บไซต์
  4. การเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ที่เพิ่งเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น การเปลี่ยนเส้นทางหรือการสร้างแบรนด์ใหม่ อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของไซต์ของคุณในผลการค้นหา แต่ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของการเปลี่ยนแปลงนั้น
  5. การอัปเดต Algorithm เนื่องจากอัลกอริธึมในการจัดอันดับจะกำหนดวิธีการจัดลำดับหน้าในหน้า Search Engine Result pages (SERPs) โดยการอัปเดตอัลกอริธึมจะเปลี่ยนวิธีที่ไซต์ของคุณปฏิบัติตามเกณฑ์ในการจัดอันดับ และส่งผลให้หน้าเว็บคุณมีอันดับเปลี่ยนไป  การติดตามประกาศอัลกอริธึม หรือความผิดพลาดล่าสุดสามารถช่วยให้คุณติดตามประสิทธิภาพของคุณได้ และ Twitter เป็นช่องทางที่ดีในการรับข่าวสารล่าสุด และคุณสามารถติดตามบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการ เช่น Marie Haynes หรือ Barry Shwartz เพื่อทราบความคิดเห็นเพิ่มเติม นอกจากนี้เครื่องมืออย่าง MozCast จะแสดงระดับความผันผวนของ SERPs ในปัจจุบันให้คุณทราบ
  6. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าหลักของเว็บไซต์คุณกำลังถูกรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนี ใช้รายงาน “Coverage” ใน Google Search Console เพื่อตรวจสอบว่าหน้าใดได้รับการจัดทำดัชนี และหน้าใดได้รับคำเตือน โดยคุณสามารถตรวจสอบ Google ด้วยตนเองได้โดยพิมพ์ลงใน URL bar : site:yourwebsite.com/web-page-slug operator จะไม่การแสดงผลลัพธ์ใดๆ หากหน้าของคุณไม่ได้รับการจัดทำดัชนี

สถานการณ์ที่ 3 ประสบการณ์การใช้งานของคุณแย่

ประสบการณ์ของผู้ใช้งานมีความสำคัญมาก ถึงแม้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะอยู่ในอันดับแรกสำหรับ Keyword ที่สำคัญทั้งหมด แต่มันจะไม่สร้างความแตกต่างใดเลย หากผู้ใช้งานเข้ามายังเว็บไซต์แต่ไม่รู้วิธีการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะส่งผลให้พวกเขาไปใช้งานเว็บไซต์คู่แข่งของคุณแทน ดังนั้นการทำให้แน่ใจว่าคุณมีเส้นทางของผู้ใช้ที่ได้รับการพัฒนาอย่างดี และสามารถใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณได้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการที่จะประสบความสำเร็จใน SEO

วิธีระบุสิ่งนี้ว่าเป็นปัญหา

นี่คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของคุณ เนื่องจากไม่มีเครื่องมือที่จะบอกคุณได้ว่า เว็บไซต์ของคุณมอบประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ดีแก่ผู้ใช้หรือไม่  โดยทั่วไปแล้ว หากคุณรู้สึกหงุดหงิดเมื่อใช้เว็บไซต์ของคุณเอง หรือมีบางสิ่งที่ทำให้คุณรำคาญเมื่อสำรวจเว็บไซต์อื่น นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไม่ดี เราจะมาบอกถึงแนวทางปฏิบัติบางอย่างที่สามารถช่วยเน้นว่านี่เป็นปัญหาหรือไม่

  • ทำแบบสำรวจเพื่อถามผู้ใช้งานเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น “คุณพบสิ่งที่คุณกำลังมองหาหรือไม่” แนวทางที่สั้นแต่ตรงไปตรงมานี้สามารถอำนวยความสะดวกให้การตอบสนองที่เกี่ยวข้องและตรงจากลูกค้า ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างง่ายดาย เครื่องมือที่คุณสามารถใช้ได้ ได้แก่ Google Forms, SurveyMonkey และ WuFoo
  • เปรียบเทียบความเร็วเว็บไซต์กับคู่แข่ง สามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือ เช่น Crux ซึ่งสามารถระบุได้ว่าเว็บไซต์ของคุณเร็ว หรือช้าเพียงใด เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ของคู่แข่ง
  • HotJar สามารถแสดงให้คุณเห็นว่าผู้คนไปยังเพจได้อย่างไร สิ่งนี้สามารถเน้นให้เห็นว่าพวกเขาใช้เวลากับส่วนไหนมากกว่า ดึงดูดให้คลิกตรงไหน และ อะไรที่ขาดไป
  • Google Tag Manager สามารถบันทึกการติดตามการคลิกได้ วิธีนี้มีประโยชน์ในการดูว่ามีคนทำตามคำกระตุ้นการตัดสินใจของคุณหรือไม่ เช่น การกรอกแบบฟอร์มหรือการกดปุ่มบางปุ่ม

วิธีแก้ไข

  1. เพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาในหน้า On-Page ของคุณ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการอัปเดตเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้แน่ใจว่า เนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับผู้ชมของคุณ และเป็นปัจจุบัน ซึ่งเนื้อหาควรอ่านได้ง่ายต่อผู้เข้าชมทุกคน หรือบริการที่นำเสนอบนเว็บไซต์ นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดวางเนื้อหาของคุณ ตัวอย่างเช่น รวมรายการลำดับเลขเพื่อแสดง  เนื้อหาของคุณในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งสามารถช่วยกำหนดเป้าหมายตัวอย่างข้อมูลเด่นได้ อัปเดตโพสต์บล็อกเก่าด้วยข้อมูลใหม่ที่เกี่ยวข้องและเพิ่มประสิทธิภาพข้อมูลเมตาเพื่อรวม Keyword สุดท้ายตรวจสอบให้แน่ใจว่า Metadata ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับหน้าเว็บไซต์ และได้รับการปรับให้เหมาะสม
  2. รวม Call to Action (CTA) ซึ่งควรมีคำกระตุ้นการตัดสินใจที่ชัดเจนในทุกหน้า สิ่งเหล่านี้อาจรวมอยู่ในการนำทางหลัก ดังนั้นมันจึงปรากฏบนทุกหน้า หรือ วางไว้ใกล้ด้านบนสุดของแต่ละหน้า โดย CTA ให้ทิศทาง และจุดดำเนินการกับลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าหากพวกเขาต้องการมีส่วนร่วมมากขึ้นก็สามารถทําได้ง่าย ตัวอย่างเช่น CTA ทั่วไปได้แก่ “ติดต่อเรา” “ลงทะเบียนที่นี่” หรือ “จองเลย
  3. แปลงง่ายไหม เมื่อคุณเข้าสู่หน้าแรกของเว็บไซต์ CTA มีความชัดเจนหรือไม่ มีอุปสรรคใดบ้างที่อาจทำให้ลูกค้าไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้? เช่น กำหนดให้ลูกค้าเข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียนก่อนซื้อ , การทำให้ใช้ระหว่างทางง่าย และชัดเจนตั้งแต่เข้าสู่เว็บไซต์ไปจนถึงการเปลี่ยนใจต่างๆ เป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากอุปสรรคสามารถยับยั้งผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้อย่างง่ายดาย

สรุป

คู่มือนี้กล่าวถึงสถานการณ์ทั่วไป 3 ประการที่นักการตลาดดิจิทัลประสบ การไม่รู้ว่าควรกำหนดเป้าหมาย Keyword ใด หรือดำเนินการอย่างไร อาจเป็นเรื่องยากที่จะนำทาง การใช้เครื่องมือที่แนะนำ และรวบรวม Keyword ที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดเป้าหมายให้กับหน้าเว็บไซต์ของคุณจะช่วยปรับปรุงการจัดอันดับของคุณได้ ในทำนองเดียวกัน ความสามารถในการระบุเวลาที่อันดับของคุณลดลงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะทันกับปัญหาที่อาจก่อให้เกิดความผันผวนขึ้น สุดท้ายนี้การให้บริการประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตลาดดิจิทัล หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ และ สามารถบอกทิศทางในการแก้ปัญหาที่เกิด เมื่อคุณประสบปัญหาและไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน

Credit: Link

สวัสดี เราชื่อ พีค มีความสนใจเรื่อง SEO มาตั้งแต่ตอนอายุ 20 สมัยเข้ามหาลัยใหม่ๆ เนื่องจากเราเรียนบริหารธุรกิจ จึงได้เรียนเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ และมองว่า SEO คือหนึ่งในศาสตร์และศิลป์ที่มีความอ่อนไหว น่าสนใจ และดูมีอะไรในตัวของมันเองดี คนที่ทำต้องรอคอยเป็น เหมือนฝึกให้เรารู้จักที่จะรอคอยได้ ก็เลยศึกษา ทดลอง มาโดยตลอด มันสนุกมากนะ ได้เห็นกราฟวิ่งขึ้นวิ่งลง เติบโตไปเรื่อยๆ เปรียบเสมือนกับชีวิตที่มีสีสัน มีจังหวะที่คอยสลับไปมานั่นเอง