ทำความรู้จักปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์

เมื่อไม่นานมานี้ เราได้ทำการวิเคราะห์ผลการค้นหาของ Google จำนวนทั้งหมด 11.8 ล้านรายการ เพื่อตอบคำถามที่สงสัย ซึ่งคำถามยอดฮิตที่พบบ่อยก็คือ “ปัจจัยใดที่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าเเรกของ Google” ซึ่งมีหลากหลายปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นปริมาณของลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) ความเร็วในการโหลดหน้าเพจของเว็บไซต์ เป็นต้น เเต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ ที่น่าสนใจมาก ซึ่งทางเราได้ศึกษาข้อมูลมาอย่างครบถ้วน เเละอยากจะแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ให้กับทุกคน โดยต่อไปจะเป็นการอธิบายอย่างละเอียดในเรื่องของปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์

การใช้โดเมนที่น่าเชื่อถือ (Authoritative Domain) ช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับสูงขึ้น

จากการศึกษานั้นพบว่า Link Authority มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับของเว็บไซต์ในหน้าเเรกของ Google ซึ่งวัดโดยใช้ Ahrefs Domain Rating 

เเละโดยทั่วไปแล้ว คะเเนนของโดเมน (Domain Rating) จะเพิ่มขึ้นตามตำเเหน่งของ SERP

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่ายิ่งถ้ามีผู้เข้าถึงหน้าเเรกของเว็บไซต์จำนวนมาก จะส่งผลให้อันดับโดเมน มีเเนวโน้มสูงขึ้นได้ ซึ่งในความเป็นจริงนั้น Domain Authority เเละะ Page Authority (DA/PA) เป็นปัจจัยสำคัญที่มีความสัมพันธ์ต่อการจัดอันดับเว็บไซต์มากกว่า URL Rating 

ประเด็นสำคัญ : การให้คะแนนโดเมนที่สูงขึ้นนั้นมีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับเว็บไซต์ที่สูงขึ้น ดังนั้นโดเมนจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมาก ที่มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์บนหน้าเเรกของ Google

เว็บไซต์ที่มีจำนวน Backlink สูง จะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า

ข้อค้นพบที่น่าสนใจมากที่สุดข้อหนึ่งจากการวิเคราะห์ คือ ในเว็บไซต์จะมีเพียงไม่กี่หน้าเพจเท่านั้นที่จะมีลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) ซึ่งเราพบว่าประมาณ 95% ของหน้าเว็บทั้งหมดนั้นไม่มีลิงก์ย้อนกลับเลย

การค้นพบนี้สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ Backlinko-BuzzSumo ซึ่งพบว่าโพสต์บล็อกทั้งหมด 912 ล้านรายการที่ได้ทำการวิเคราะห์ ไม่มีลิงก์ย้อนกลับมากถึง 94% จึงไม่น่าเเปลกใจมากนักที่เราค้นพบว่าหน้าเว็บไซต์ที่มีจำนวนลิงก์ย้อนกลับสูงสุดทั้งหมดจากหน้าที่ไม่มีลิงก์ย้อนกลับเลย จะมีเเนวโน้มที่จะอยู่ในอันดับสูง ๆ ใน Google 

นอกจากนี้เรายังพบว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับ 1 มีปริมาณลิงก์ย้อนกลัยเฉลี่ยนอยู่ที่ 3.8 เท่า เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับ 2 เเละ 3

ประเด็นสำคัญ : แม้ว่า Google จะเพิ่มความหลากหลายให้กับอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่องในการจัดอันดับเว็บไซต์ เเต่อย่างไรก็ตามลิงกืย้อนกลับ (Backlink) ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการจัดอันดับของ Google

เนื้อหาที่ครอบคลุมมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการจัดอันดับเว็บไซต์ที่สูงขึ้น 

ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน SEO หลายคร ได้กล่าวว่าเนื้อหาที่มีความคลอบคลุมจะส่งผลดีที่สุดต่อการจัดอันดับเว็บไซต์บน Google กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าเนื้อหาที่ครอบคลุมหัวข้อทั้งหมดในหน้าเดียวอาจจะมีความสัมพันธ์โดยตรงหรือโดยอ้อมกับการจัดอันดับ

ซึ่งทางเราได้ทำการทดสอบสมมติฐานที่กล่าวมาข้างต้น โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์เนื้อหา Clearscope.io การวิเคราะห์พบว่า “ระดับเนื้อหา (Content Grade)” เเละการจัดอันดับของ Google มีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาผลลัพธ์บนเดสก์ท็อป หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ

ซึ่งถ้าหากดูที่ผลลัพธ์ 30 อันดับเเรก ถ้ามีการเพิ่มระดับของเนื้อหา จะพบว่าการจัดอันดับก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย เป็นการเเสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างระดับของเนื้อหาเเละการจัดอันดับ

สำหรับหน้าเพจนี้ จะเห็นได้ว่ามีองค์ประกอบหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของ Google ตัวอย่างเช่น เพจได้ใช้คีย์เวิร์ดที่ตรงกัน ซึ่งอยู่ในส่วนของ เเท็กชื่อเพจ เเละเเท็ก Heading 1 (H1) นอกจากนี้โดเมนยังมีความน่าเชื่อถือสูง โดยจากการวิเคราะห์ของ Ahrefs ได้ให้คะแนนโดเมนอยู่ที่ 73 คะแนน อย่างไรก็ตาม หน้านี้อยู่ในอันดับที่ 9 สำหรับการจัดอันดับคีย์เวิร์ด “Paleo diet breakfast”

เเละหน้าเพจนี้มีระดับเนื้อหาที่ค่อนข้างต่ำ เนื้อหาไม่ครอบคลุมเสียสักเท่าไหร่

เนื้อหาที่ครอบคลุมจะส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์โดยตรง อาจเป็นไปได้ว่า Google จะชื่นชอบเนื้อหาที่ละเอียด ครอบคลุม หรืออาจเป็นไปได้ว่าผู้ใช้งานเว็บไซต์พึงพอใจมากกับผลการค้นหาที่ให้คำตอบได้ตรงเเละครบถ้วน จึงส่งผลต่ออัตราการเข้าชมของเว็บไซต์ที่สูงขึ้น เเละทำให้ Google มองเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นที่นิยมนั่นเอง

ประเด็นสำคัญ : การเขียนเนื้อหาเชิงลึกที่ครอบคลุมสามารถช่วยให้หน้าเว็บไซต์มีอันดับที่สูงขึ้นได้ จากการจัดอันดับใน Google

ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ

ทาง Google ได้ใช้ความเร็วของเว็บไซต์เป็นสัญญาณการจัดอันดับอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2010 และการอัปเดตที่เกี่ยวข้องกับความเร็วล่าสุดของ Google คือ “การอัปเดตความเร็วของเว็บไซต์” ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยในปี 2018 ได้รับการออกเเบบ พัฒนาเพื่อให้ผู้ค้นหาบนมือถือสามารถโหลดหน้าเว็บไซต์ได้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อสะดวกต่อการใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์

อย่างไรก็ตาม เราต้องการทราบว่าเเท้จริงแล้ว ความเร็วของเว็บไซต์มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับของ Google จริงหรือไม่ ซึ่งได้ใช้เครื่องมือ Alexa’s domain speed ในการวิเคราะห์เวลาในการโหลดเฉลี่ยของ 1 ล้านโดเมนจากชุดข้อมูลที่ได้ศึกษา โดยรวมจากการวิเคราะห์พบว่าความเร็วของเว็บไซต์นั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับของ Google 

ผลลัพธ์ของการวิเคราะห์นี้อาจจะดูน่าประหลาดใจ ว่าทำไม PageSpeed ถึงไม่ได้มีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ แม้ว่าทาง Google จะเคยประกาศไว้เเล้วว่าความเร็วของเว็บไซต์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการจัดอันดับ 

เเต่อย่างไรก็ตามทาง Google ที่ได้ประกาศอัปเดตความเร็ว พวกเขาต้องมั่นใจได้ว่าการอัปเดตจะส่งผลต่อหน้าเว็บไซต์ที่มีการโหลดช้ามากเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้เว็บไซต์เหล่านั้นปรับปรุงความเร็วเพื่อตอบสนองต่อการใช้งานของผู้เข้าเยี่ยมชม

ซึ่งการอัปเดตความเร็วโดยรวมไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ต่าง ๆ มากนัก

กล่าวได้โดยย่อว่าอัลกอริทึมของ Google ดูเหมือนจะมีการลดอันดับหน้าเว็บไซต์ที่ช้ามากให้มีอันดับลดลงเมื่อเทียบกับหน้าเว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะมีอันดับเพิ่มขึ้น เเละการวิเคราะห์ของเราพบว่าความเร็วในการโหลดหน้าเว็บสำหรับผลการค้นหาหน้าเเรกมีความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 1.65 วินาที

การวิเคราะห์ความเร็วเว็บไซต์ก่อนหน้านี้ของเราพบว่าหน้าเว็บไซต์โดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 10 วินาที ในการโหลดบน Desktop และประมาณ 27 วินาที สำหรับการโหลดบนมือถือ

เมื่อเทียบกับมาตรฐานนั้นความเร็วในการโหลดมีความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 1.65 วินาที ซึ่งถือว่ารวดเร็วมาก เเละเนื่องจากผลลัพธ์ของเว็บไซต์ 10 อันดับเเรก พบว่ามีความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ที่ค่อนข้างเร็วมาก จึงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เมื่อทาง Google ได้ใช้มาตรการอัปเดตความเร็วต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ที่มีอัตราการโหลดหน้าเว็บช้า

ประเด็นสำคัญ : ผลการค้นหาหน้าเเรกของ google โดยเฉลี่ยเเล้วจะใช้เวลาโหลดอยู่ที่ประมาณ 1.65 วินาที อย่างไรก็ตาม เราพบว่าระยะเวลาในการโหลดของเว็บไซต์ไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับของ Google

ปริมาณโดเมนอ้างอิง อาจจะมีอิทธิพลต่อการจัดอันดับ

ทางด้านผู้เชี่ยวชาญ SEO หลายคนยอมรับว่าการได้รับ Backlink จำนวนมากจากโดเมนเดียวกันนั้น ทำให้ผลการจัดอันดับเว็บไซต์ลดลงได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าการได้รับลิงก์จำนวน 10 ลิงก์จากเว็บไซต์ที่แตกต่างกัน จะดีกว่าการที่ได้รับลิงก์ทั้งหมด 10 ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มาจากโดเมนเดียวกัน

จากการวิเคราะห์ของเรา ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวนี้จะเป็นความจริง เราพบว่าความหลากหลายของโดเมนมีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์

เช่นเดียวกับประมาณของ Backlink ซึ่งพบว่าผลลัพธ์ของเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของ Google มักจะมีโดเมนที่เชื่อมโยงเข้ามาในเว็บไซต์จำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเว็บไซต์ที่มีอันดับต่ำ ๆ จะเห็นได้ว่าปริมาณของโดเมนที่เข้ามาเชื่อมโยงในเว็บไซต์ หรือปริมาณของ Backlink จะมีจำนวนน้อยมาก

ประเด็นสำคัญ : การได้รับลิงก์จากโดเมนที่หลากหลายมีผลต่อ SEO เเละมีความสำคัญต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google

Title Tag ส่วนใหญ่ในหน้าแรกของ Google มีคีย์เวิร์ดที่ค่อนข้างจะตรงกันทั้งหมด

ในส่วนของ Title Tag เรียกได้ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำ SEO เนื่องจากว่าเป็นส่วนที่ทำให้ผู้คนมองเห็นภาพรวมของเนื้อหาภายาในเว็บไซต์ ดังนั้นคีย์เวิร์ดที่ปรากฏอยู่ใน Title Tag จึงมีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์

ซึ่งคู่มือเบื้องต้นสำหรับการปรับเเต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google ได้เเนะนำเอาไว้ว่าการเขียนเเท็กชื่อเรื่องนั้นควรจะสามารถอธิบายได้ว่าหน้านั้นมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับอะไร

แน่นอนว่า Title Tag ส่วนใหญ่ในหน้าเเรกของ Google จะมีคีย์เวิร์ดทั้งหมด หรือบางส่วนที่ถูกจัดอันดับ

แต่อย่างไรก็ตาม Title Tag ที่มีการปรับให้เหมาะสมกับคีย์เวิร์ดนั้นดูจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับที่สูงขึ้นเสียสักเท่าไหร่

แบบจำลองเชิงเส้นนี้ แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Title Tag เเละการจัดอันดับนั้นมีความสัมพันธ์กันน้อยมาก (จากภาพจะเห็นความแตกต่างเพียง 1% ระหว่างผลลัพธ์ของอันดับ 1 เเละอันดับ 10) 

ประเด็นสำคัญ : เว็บไซต์ 10 อันดับแรกของ Google จะเห็นได้ว่ามีคีย์เวิร์ดอยู่ประมาณ 65% ถึง 85% ที่อยู้ในส่วนของ Title Tag ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดที่พวกเขาได้ใช้ในการจัดอันดับ อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่าง Title Tag เเละการจัดอันดับของ Googlำ เเทบไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องกันเลย

แท็ก H1 ที่มีคีย์เวิร์ดสำคัญ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดอันดับเว็บไซต์ที่สูงขึ้น

คล้ายกับผลการศึกษาเกี่ยวกับ Title Tag ของเรา ที่พบว่าหน้าเว็บส่วนใหญ่ในผลการค้นหาของ google มักจะมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในแท็ก H1 ของหน้าเว็บนั้น ๆ 

อีกทั้งเเท็ก H1 ที่มีคีย์เวิร์ดอยู่นั้น ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ในการจัดอันดับเว็บไซต์ที่มีอันดับสูงขึ้น ซึ่งพิจารณาโดย Google

ประเด็นสำคัญ : สรุปได้ง่าย ๆ ว่า H1 ที่มีคีย์เวิร์ดอยู่นั้น อาจจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับหน้าเเรกได้ เเต่อย่างไรก็ตามปัจจัยนี้ไม่ได้เป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อการจัดอันดับของ Google

Page Authority มีความสัมพันธ์เล็กน้อยต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์

เราได้ศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ Page Authority กับการจัดอันดับของเว็บไซต์ว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ เเม้จะพบว่าการให้คะแนน URL เเละการจัดอันดับเว็บไซต์จะมีความเชื่อมโยงกัน เเต่ก็มีความสัมพันธ์กันน้อยมาก 

Page Authority เป็นค่าที่ใช้ในการวัดความเชื่อมั่นหรือความน่าเชื่อถือของหน้าเว็บเฉพาะ (เพจ) ในเว็บไซต์ เป็นค่าที่พัฒนาโดย Moz เพื่อให้การประเมินระดับความสำคัญของหน้าเว็บที่สำคัญต่อการค้นหา ค่า Page Authority คำนวณจากหลายปัจจัย เช่น จำนวนลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังหน้าเว็บนั้น คุณภาพและความสำคัญของเว็บไซต์ต้นทางที่ลิงก์มา ความน่าเชื่อถือของหน้าเว็บเอง และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสำคัญของหน้าเว็บในมุมมองของการค้นหาและการจัดอันดับ เป็นตัวชี้วัดที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบความสำคัญของหน้าเว็บต่างๆ ภายในเว็บไซต์เดียวกันหรือในเว็บไซต์ต่างๆ โดยมีคะแนนตั้งแต่ 0-100 โดยค่าที่สูงขึ้นแสดงถึงความน่าเชื่อถือ และความสำคัญที่สูงขึ้นของหน้าเว็บนั้น

ซึ่งจะเห็นได้ว่าหน้าเว็บไซต์ที่อยู่ใน 6 อันดับเเรกนั้นจะมีคะแนน URL ที่สูงกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับ 7-10 อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เเข็งแกร่งหรือมีผลอะไรมากนัก เมื่อเทียบกับปัจจัยทางด้านโดเมนของเว็บไซต์ที่มีผลต่อการจัดอันดับมากกว่า ซึ่งโดยรวมแล้วการให้คะแนน URL ส่วนใหญ่ของเว็บไซต์ 10 อันดับเเรกค่อนข้างจะใกล้เคียงกันมาก ไม่ได้มีความแตกต่างแน่ชัด

และจากทุกหน้าในชุดข้อมูลที่ใช้ทดสอบ พบว่าคะแนนเฉลี่ยของ URL จากผลลัพธ์การค้นหาในหน้าแรกของ Google จะมีคะเเนนเฉลี่ยอยู่ที่ 11.2 คะแนน

ประเด็นสำคัญ : Page Authority ในเเต่ละหน้าเพจในเว็บไซต์ของคุณนั้น เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญน้อยมากในการจัดอันดับเว็บไซต์ เมื่อเทียบกับ Domain Authority แล้ว ซึ่งภาพรวมของโดเมนในเเต่ละเว็บไซตฺ์มีผลต่อการจัดอันดับมากกว่า 

จำนวนคำเฉลี่ยของผลการค้นหาหน้าแรกบน Google อยู่ที่ประมาณ 1,447 คำ

เนื้อหาคอนเทนต์ที่มีเนื้อหายาวจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาสั้้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่าเนื้อหาที่มีความยาวมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะได้รับจำนวน Backlink มากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหาสั้น ๆ 

เราค้นพบว่าเนื้อหาที่ได้รับการจัดอันดับใน Google ค่อนข้างจะมีความยาวที่พอดี โดยรวมเเล้วจำนวนคำเฉลี่ยของผลการค้นหา 10 อันดับแรกของ Google จะมีเนื้อหาที่ความยาวประมาณ 1,447 คำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเนื้อหาเเบบยาวจะดีที่สุดสำหรับการสร้างลิงก์เชื่อมโยงทั้งจากภายใน เเละภายนอกเว็บไซต์ แต่เราไม่พบความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างจำนวนคำเเละการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google

เนื่องจากเป็นการศึกาาเชิงสัมพันธ์ เราจึงไม่สามารถระบุได้ว่าทำไมเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคอนเทนต์ที่ยาวจึงมีแนวโน้มที่จะปรากฏบนหน้าเเรกของ Google ได้มากกว่า

ประเด็นสำคัญ : หน้าเพจเว็บไซต์ที่มีจำนวนคำเยอะจะมีโอกาสในการจัดอันดับให้อยู่บนหน้าแรกของ Google มากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับหน้าเพจที่มีจำนวนคำน้อยกว่า ซึ่งจำนวนคำเฉลี่ยของการค้นหาบนหน้าแรกของ Google นั้น อยู่ที่ประมาณ 1,447 คำ

ขนาดของ HTML หน้าเว็บ ไม่มีความสัมพันธ์ต่อการจัดอันดับเว็บไซต์

Page HTML size (ขนาดของ HTML หน้าเว็บ) คือปริมาณข้อมูลทั้งหมดที่ประกอบด้วยในไฟล์ HTML ของหน้าเว็บแต่ละหน้า รวมถึงโค้ด HTML, CSS, JavaScript, รูปภาพ และเนื้อหาอื่น ๆ ที่อยู่ในหน้าเว็บนั้น

ขนาด HTML สามารถวัดได้ในหน่วยไบต์ (Bytes) หรือกิโลไบต์ (Kilobytes) เป็นต้น เมื่อหน้าเว็บมีขนาด HTML ที่ใหญ่ เพื่อรับสมควรที่จะลดขนาดของไฟล์ HTML นั้นลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโหลดหน้าเว็บ เนื่องจากขนาดไฟล์ HTML ใหญ่อาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าและใช้งานทรัพยากรเครือข่ายมากขึ้นได้

และจากการวิเคราะห์ของเราพบว่าขนาดของ HTML นั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ

เเต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญทางด้าน SEO มีการคาดเดาไว้ว่าหน้าเว็บที่มี HTML ขนาดใหญ่ไม่ได้มีผลดีต่อการทำ SEO เเละการจัดอันดับ

ซึ่งผลสรุปของการวิเคราะห์ยังคงยืนยังว่าขนาดของหน้าเว็บเพจไม่ได้มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์

ประเด็นสำคัญ : ขนาดของหน้าเพจเว็บไซต์ (Page size) ไม่ได้มีผลกระทบต่อการจัดอันของ Google

URL ที่มีขนาดสั้นจะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า URL ที่มีขนาดยาว

Google ขอเเนะนำให้ใช้ URL แบบง่าย มีขนาดไม่ยาว เเละได้เเนะนำให้ใช้ URL ที่มีขนาดยาวมากในบางกรณีพิเศษเท่านั้น

โดยคำเเนะนำเหล่านี้ดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพของ URL เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้มากกว่าการมุ่งเน้นไปทางด้าน SEO 

ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราได้เริ่มตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างความยาวของ URL เเละการจัดอันดับของเว็บไซต์ โดยพบว่า URL ที่มีขนาดสั้นกว่าจะมีการจัดอันดับที่สูงกว่า URL ขนาดยาว

เเละการวิเคราะห์เห็นได้ชัดว่า URL ของเว็บไซต์อันดับที่ 1 นั้น มีความยาวเฉลี่ยที่สั้นกว่า URL ของเว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับอยู่ในอันดับที่ 10 โดยมีความยาวเฉลี่ยที่เเตกต่างกันอยู่ 9.2 อักขระ

และความยาวเฉลี่ยของ URL สำหรับผลลัพธ์ 10 อันดับแรกใน Google มีความยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 66 อักขระ อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว URL ส่วนใหญ่ในหน้าแรกของ Google จะมีความยาวเท่า ๆ กัน โดยประมาณอยู่ที่ 40 ถึง 100 อักขระ

นอกจากนั้น URL ที่มีขนาดสั้นจะช่วยปรับปรุง SEO ได้ ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้

ประการที่ 1 URL ที่มีขนาดสั้น จะส่งผลให้มี CTR ที่สูงขึ้นได้ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า URL ขนาดสั้นมี CTR ที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ URL ขนาดยาว

ประการที่ 2 URL ขนาดสั้นจะช่วยทำให้ Google เข้าใจได้ง่ายว่าเพจของคุณเกี่ยวกับเรื่องอะไร 

ตัวอย่างเช่น

URL แบบสั้น เช่น thekalling.com/my-post จะทำให้ Google เข้าใจได้ง่ายกว่า URL เเบบยาว เช่น thekalling.com/1/12/2022/blog/category/this-is-the-title-of-my-blog-post pageid=891/.

ประการที่ 3 URL ที่มีขนาดยาว จะมีแนวโน้มทิศทางไปยังหน้าเว็บที่อยู่ห่างจากหน้าหลักของเว็บไซต์ที่มีการคลิกหลายครั้ง เเละลดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ได้ ทำให้เว็บไซต์มีอันดับที่ต่ำลง ดังภาพตัวอย่างด้านล่างนี้

ประเด็นสำคัญ : URL ที่มีขนาดสั้นกว่าจะมีความสัมพันธ์ต่อการจัดอันดับที่สูงขึ้นได้ ซึ่งความยาวของ URL เฉลี่ยในหน้าแรกของ Google จะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 66 อักขระ

Schema Markup ไม่ได้มีความสัมพันธ์ระหว่างการจัดอันดับของเว็บไซต์

ถึงเเม้ว่าทาง Google เอง ก็ยังไม่ฟันธงแน่ชัดว่า Schema Markup มีผลต่อการจัดอันดับหรือไม่ เเต่การศึกษาของพวกเราพบว่าเเทบไม่ได้มีผลอะไรเลยกับการจัดอันดับเว็บไซต์

หลายคนยังคงเชื่อว่า Schema Markup จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาคอนเทนต์ของคุณมากยิ่งขึ้น ความเข้าใจเนื้อหาที่ลึกซึ้งจะช่วยกระตุ้นให้กูเกิ้ลแสดงเว็บไซต์ของคุณต่อผู้คนมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น

คุณสามารถใช้โครงสร้างของข้อมูลเพื่อทำให้ Google ทราบได้ว่าเมื่อคุณใช้คำว่า “Toy Story” คุณกำลังหมายถึงภาพยนตร์ต้นฉบับเรื่อง Toy Story นั่นเอง ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่น

ยังคงมีเว็บไซต์ที่ใช้ Schema เพื่อรับตัวอย่างข้อมูลที่สมบูรณ์ใน SERP อย่างไรก็ตามแม้ว่า Schema Markup จะมีประโยชน์หลากหลาย เเต่ความนิยมในการใช้นั้นลดลงไปมาก ซึ่งเราพบว่ามีเพียงแค่ 72.6% ของหน้าเว็บไซต์ที่ติดอันดับหน้าแรกของ Google เท่านั้นที่ยังคงใช้ Schema อยู่แต่อย่างไรก็ตามในการวิเคราะห์ของเราพบว่า Schema ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google

ประเด็นสำคัญ : การใช้ Schema Markup ไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการจัดอันดับ Google ที่สูงขึ้น

เว็บไซต์ที่มี “Time on Site” สูงกว่าค่าเฉลี่ยมักจะอยู่ในอันดับที่สูงกว่าบนหน้าเเรกของ Google

หลายคนที่อยู่ในโลกของ SEO ได้คาดการณ์ไว้ว่า Google ใช้ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User Experience) ในการจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่งจะดูทั้งในเรื่องของ Bounce rate เวลาการใช้บนเว็บไซต์ อัตราการคลิกผ่านแบบออร์แกนิค เเละ Pogosticking เป็นปัจจัยในการจัดอันดับเว็บไซต์

เพื่อทดสอบทฤษฎีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เราได้ทำการวิเคราะห์ว่าการใช้เวลาบนเว็บไซต์มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับหน้าแรกของ Google หรือไม่ ซึ่งพบว่าเวลาที่ใช้บนเว็บไซต์นั้นมีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์

ซึ่งจากการวิเคราะห์เเสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดเลยว่าเวลาบนเว็บไซต์นั้นมีความสัมพันธ์อย่างมากกับอันดับที่สูงขึ้น โดยทั่วไปเเล้วเวลาเฉลี่ยบนเว็บไซต์สำหรับเว็บที่ติดหน้าแรกบน Google มีเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 นาที

แต่อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าระยะเวลาบนเว็บไซต์มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการจัดอันดับ ซึ่งอาจจะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาคอนเทนต์ในเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูง เเละตรงกับความต้องการของผู้คน จึงส่งผลให้ผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้เวลาการใช้งานบนเว็บไซต์สูงขึ้นได้

ประเด็นสำคัญ : เวลาเฉลี่ยของการใช้งานบนเว็บไซต์ที่ติดอันดับหน้าแรกของ Google ส่วนใหญ่จะมีเวลาการใช้งานเว็บไซต์เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 นาที

สรุป

บทสรุปของการค้นพบข้อมูลที่สำคัญ ที่ได้รวบรวมเอาไว้ในบทความนี้

  1. จากข้อมูลที่ค้นพบทำให้เห็นว่าการมีลิงก์เชื่อมโยงจากภายนอกจำนวนมาก ส่งผลให้อันดับเว็บไซต์สูงขึ้น (วัดค่าโดย Ahrefs Domain Rating)
  2. หน้าเว็บไซต์ที่มีจำนวนลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) จำนวนมากจะมีอันดับที่สูงกว่าหน้าเว็บไซต์ที่มีลิงก์ย้อนกลับน้อยกว่า เเต่อันดับไม่ได้เเตกต่างกันมาก
  3. เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาครอบคลุม เนื้อหาเจาะลึกในเเต่ละหัวข้อได้อย่างละเอียด มีอันดับที่ดีกว่าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่รอบคลุม
  4. เเต่ที่น่าประหลาดใจ คือ เราไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ เเละการจัดอันดับหน้าแรกของ Google
  5. การได้รับลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) จากเว็บไซต์อื่น ๆ ดูเหมือนจะมีความสำคัญต่อการทำ SEO เราพบว่าจำนวนโดเมนที่เชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บไซต์มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ
  6. พบว่า Title Tag ส่วนใหญ่ใน Google ตรงกับคีย์เวิร์ดหลักที่พวกเขาได้จัดอันดับไว้เกือบทั้งหมด อย่างไรก็ตามเราพบว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการใช้คีย์เวิร์ดในชื่อ Title Tag กับการจัดอันดับที่สูงขึ้นของเว็บไซต์
  7. Page Authority มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับเพียงเล็กน้อย
  8. เราพบว่าจำนวนคำในผลลัพธ์ 10 อันดับเเรกของเว็บไซต์บนหน้าเเรกของ Google โดยเฉลี่ยมีจำนวนคำในเนื้อหาทั้งหมดประมาณ 1,447 คำ
  9. ขนาดของ HTML หน้าเว็บ ไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ
  10. เราได้พบความสัมพันธ์เล็กน้อยระหว่างความยาวของ URL เเละการจัดอันดับเว็บไซต์ โดยเฉพาะ URL ที่สั้นนั้นมักจะมีความได้เปรียบด้านการจัดอันดับมากกว่า URL ที่ยาว
  11. การใช้ Schema markup ไม่สัมพันธ์กับการจัดอันดับที่สูงขึ้น
  12. เว็บไซต์ที่มี “Time on Site” สูงกว่าค่าเฉลี่ยมักจะอยู่ในอันดับที่สูงกว่าบนหน้าเเรกของ Google

ซึ่งนี่ก็เป็นบทสรุปที่เราได้ค้นพบจากการตรวจสอบหาข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์

สวัสดีค่ะทุกคน ชื่อหมูนะคะ เราเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบงานเขียนมาก ๆ ค่ะ เพราะงานเขียนเปรียบเสมือนกับการสร้างโลกในจินตนาการของเราขึ้นมา โลกใบนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสนุกสนาน เเละความรู้มากมายที่เราสามารถผจญภัยไปได้เเบบไม่มีลิมิต มาท่องโลกของตัวหนังสือไปพร้อมกันนะคะ