SEO กับ SEM แตกต่างกันอย่างไร

ความแตกต่างระหว่าง Search Engine Optimization (SEO) กับ Search Engine Marketing (SEM) คือ การทำ SEO มีจุดประสงค์มุ่งเน้นปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีอัตราการเข้าชม (Organic Traffic) ที่เพิ่มคน จนส่งผลให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้า Google ได้ ซึ่งการทำ SEO ไม่จำเป็นต้องเสียเงินจ้างทำโฆษณาใด ๆ แต่หากเป็นการทำ SEM ถึงแม้จะมีจุดประสงค์ในการปรับแก้ไขให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกเช่นเดียวกันกับการทำ SEO แต่วิธีนี้จะต้องมีการเสียค่าใช้จ่าย เช่น Google Ads โดยเป็นช่องทางโฆษณาที่นิยมใช้กันมากที่สุด สำหรับการทำ SEM

ทั้ง SEO และ PPC เป็นวิธีการทำตลาดให้กับธุรกิจต่าง ๆ ด้วยการใช้เครื่องมือค้นหา ดังนั้นทั้งสองประเภทนี้ ก็จัดว่าเป็นการทำการตลาดในรูปแบบ Search engine market (SEM) เพียวแต่การทำ SEO ไม่จำเป็นต้องเสียเงินโฆษณาเท่านั้น

ซึ่งในบทความนี้ จะพามาเรียนรู้กับวิธีการสร้างกลยุทธฺ์ SEM ที่สามารถเพิ่มอัตราการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้ โดยมีหัวข้อที่จะกล่าวถึงดังต่อไปนี้

ถ้าหากทุกคนพร้อมแล้ว เข้ามาเรียนรู้ตามหัวข้อต่าง ๆ กันได้เลย 

SEO คืออะไร

SEO คือ กระบวนการทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้เว็บสามารถติดอันดับหน้าแรกบน Google ได้ โดยจะเกี่ยวข้องกับการออกแบบเว็บไซต์ คอนเทนต์เนื้อหาภายในเว็บไซต์ จุดมุ่งเน้นในการทำ SEO คือ การเพิ่มปริมาณการเข้าชม ให้มีผู้คนเข้ามาชมเว็บไซต์มากขึ้น จนเว็บไซต์สามารถติดอันดับหน้าแรกได้

โดยขั้นตอนการทำ SEO จะมี 4 ขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

  1. Keyword research – มองหาคีย์เวิร์ดสำคัญที่ผู้คนกำลังสนใจ
  2. On-page SEO – สร้างเนื้อหาให้น่าสนใจ เพื่อดึงดูผู้คน
  3. Off-page SEO – สร้างความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ มีการเชื่อมโยงลิงก์คุณภาพสูงจากเว็บไซต์อื่น ๆ 
  4. Technical SEO – ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องมือการค้นหา สามารถที่จะค้นพบข้อมูล และจัดทำดัชนีเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณได้

Keyword Research

ในขั้นตอนนี้คือการทำความเข้าใจคำ หรือวลี ที่เรียกว่าคีย์เวิร์ด ซึ่งต้องเป็นคีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายชื่นชอบพิมพ์ค้นหาในเครื่องมือการค้นหาต่าง ๆ เช่น Google คุณสามารถตรวจสอบคีย์เวิร์ดเหล่านี้ได้ด้วยการใช้เครื่องมือฟรี อย่าง Keywords Explorer ของ Ahrefs ได้ 

ตัวอย่างเช่น มีการค้นหาอยู่ที่ 1,500 ครั้งต่อเดือน ในสหรัฐอเมริกาสำหรับการค้นหาคีย์เวิร์ด “SEO vs SEM”

On-Page SEO 

การทำ On-Page SEO คือ การสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดด้วย

ตัวอย่างเช่น ผู้คนค้นหาคำว่า “SEO VS SEM” คือ ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการเหล่านี้ โดยผู้ค้นหาต้องการทราบถึงความแตกต่างระหว่าง SEO กับ SEM ดังนั้นเว็บไซต์ของคุณควรจะสร้างเนื้อหา ให้ตรงกับจุดประสงค์ของผู้ค้นหา

ผู้คนค้นหา เกี่ยวกับ “เสื้อผ้าเด็ก” มีจุดประสงค์ในการค้นหาร้านค้าผ่านตลาดออนไลน์ E-Commerce

การที่เว็บไซต์ของคุณมีเนื้อตรงกับจุดประสงค์การค้นหาของผู้คน จะทำให้เว็บไซต์มีปริมาณการเข้าชมเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยนี้ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มีผลต่อการทำ SEO ซึ่งยังต้องตระหนักถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ เช่นเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย

  • กลยุทธ์การวางคีย์เวิร์ดในบทความ
  • สร้างชื่อเรื่องให้น่าสนใจ
  • การใช้ URL ที่มีการสื่อความหมาย
  • การปรับภาพให้เหมาะสม

ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นกระบวนการของ On-Page SEO

Off-Page SEO

การทำ Off-Page SEO คือ การเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เพื่อให้ Google มองเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะสมสำหรับการจัดอันดับหรือไม่ ซึ่งการทำ Off-Page SEO เกี่ยวข้องกับการสร้าง Backlinks ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งลิงก์ประเภทนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์จาก Google 

ตัวอย่งเช่น สมมติว่าบทความนี้ได้รับ Backlinks จากเว็บไซต์ที่มีความนิยมสูง และมีความเกี่ยวข้องกับ SEO จะทำให้ Google มองเห็นว่า เนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณนั้นมีประโยชน์ ได้รับความสนใจ และมีความน่าเชื่อถือ ส่งผลให้อันดับของเว็บไซต์ดีขึ้นได้

ซึ่งหากคุณอยากทราบว่ามีใครที่เชื่อมโยงลิงก์มายังเว็บเพจของคุณบ้าง สามารถตรวจสอบได้ที่รายงาน Backlinks ใน Site Explorer ของ Ahrefs

Backlinks หรือลิงก์เชื่อมโยงต่าง ๆ เป็นปัจจัยภายนอก ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในการเพิ่ม Organic-Traffic ให้กับเว็บไซต์

Technical SEO

การทำ SEO เชิงเทคนิคเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เครื่องมือค้นหาสามารถค้นหา รวบรวมข้อมูล และจัดทำดัชนีเนื้อหาของคุณได้ เพื่อประเมินว่าเว็บไซต์ของคุณควรติดอันดับหน้าแรกบน Google ได้หรือไม่

นี่คือแผนผังสำหรับอธิบาย SEO เชิงเทคนิค

ยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมติว่าหากคุณบล็อกเครื่องมือการค้นหา ไม่ให้รวบรวมข้อมูลในบทความหน้าเพจของคุณ ซึ่งทาง Search Engine อย่าง Google จะไม่สามารถตรวจสอบเนื้อหาในหน้าเพจได้ ส่งผลให้ไม่สามารถจัดอันดับเว็บไซต์ได้นั่นเอง

PPC คืออะไร

PPC (Pay-Per-Click) หรือการจ่ายต่อคลิก เป็นรูปแบบการโฆษณาที่คุณต้องจ่ายสำหรับยอดการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ จากแพลตฟอร์มยอดนิยม ในกรณีของการทำ SEM จากทาง Google 

ตัวอย่างเช่น การคลิกโฆษณาสินค้า Ipad ใน Google เมื่อผู้คลิกเข้าเยี่ยมชมผ่านโฆษณาบนหน้ากูเกิ้ล ทางบริษัท Apple จะต้องจ่ายเงินให้กับ Google นั่นเอง

โดยการทำโฆษณาแบบ PPC ของ Google จะเกี่ยวข้องกับเรื่องต่อไปนี้

  • การวิจัยคีย์เวิร์ดสำคัญ (Keyword Research) – มองหาสิ่งลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณต้องการ
  • การตั้งค่าเสนอราคา (Bid setting) – ประเมินและตัดสินใจว่าคุณต้องการจ่ายเงินเท่าใดสำหรับการคลิกเข้าโฆษณาหนึ่งครั้ง
  • การสร้างโฆษณา (Ad creation) – สร้างโฆษณาที่น่าสนใจ และมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
  • การกำหนดเป้าหมายตามกลุ่มผู้รับชม (Audience targeting) – เลือกว่าใครควรเห็นโฆษณาของคุณ

การค้นหาคีย์เวิร์ดสำคัญ (Keyword Research)

การวิจัยคีย์เวิร์ดหลัก หรือ Keyword Research สำหรับการทำ Google Ads ไม่ใช่แค่การค้นหาสิ่งที่ลูกค้ากำลังค้นหาเท่านั้น ยังต้องคำนึงเกี่ยวกับการค้นคว้าว่าโฆษณาว่ามีแนวโน้มที่จะมีราคาเท่าใด ซึ่งราคานั้นจะแตกต่างกันไปซึ่งพิจารณาจากคีย์เวิร์ดหลักที่ใช้สำหรับการค้นหา

ตัวอย่างเช่น ราคาต่อหนึ่งคลิก (CPC) เฉลี่ยสำหรับคีย์เวิร์ด “เสื้อผ้าเด็ก” มีแนวโน้มสูงกว่าคีย์เวิร์ด “เสื้อผ้าเด็กผู้หญิงน่ารัก” มากกว่าถึง 2 เท่า

การตั้งค่าเสนอราคา (Bid Setting) 

การตั้งค่าเสนอราคา คือ การตัดสินใจว่าคุณยินดีจะจ่ายค่าโฆษณาให้กับทาง Google เท่าไหร่ สำหรับการคลิกโฆษณา หากคู่แข่งเสนอราคาที่สูงกว่าจะมีอัตราการเข้าถึงเว็บไซต์จากโฆษณาที่มากกว่า 

การสร้างโฆษณา (AD Creation)

การสร้างโฆษณา คือ ต้องคิดว่าโฆษณา สินค้า หรือบริการของคุณจะกล่าวถึงอะไร จะนำกลุ่มเป้าหมายไปยังหน้าเพจไหน

ตัวอย่างเช่น โฆษณาด้านล่างนี้ นำผู้ค้นหาไปยัง Landing Page ในเว็บไซต์ของเรา

Google จะให้คะแนนคุณภาพแก่โฆษณาของคุณ ซึ่งจะบ่งบอกได้ว่าโฆษณาของคุณมีความเกี่ยวข้อง และมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด โดยรวมแล้วโฆษณาที่มีคะแนนสูง จะถูกมองเห็นโดยผู้คนจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้คุณสามารถจ่ายค่าโฆษณาสำหรับการคลิกแต่ละครั้งน้อยลง ซึ่งนี่คือคำแนะนำบางประการที่เกี่ยวกับการปรับปรุงคะแนนคุณภาพของคุณจาก Google

การกำหนดเป้าหมายตามกลุ่มผู้รับชม (Audience Targeting)

การกำหนดเป้าหมายตามกลุ่มผู้ชม คือ เป็นการกำหนดว่าใครจะเห็นโฆษณาของคุณ ซึ่งสามารถกำหนดเป้าหมายได้ว่าจะเป็นผู้คนกลุ่มใด สนใจอะไร อยู่ที่ไหน ต้องการสินค้า บริการประเภทไหน เป็นต้น 

SEM คืออะไร 

Search engine marketing (SEM) คือ การเพิ่มอัตราเข้าชมเว็บไซต์ของคุณจากเครื่องมือการค้นหาต่าง ๆ เช่น Google ซึ่งคุณสามารถกระตุ้นการเข้าชมนี้จากการค้นหาทั่วไปเรียกได้ว่าเป็นการทำ SEO หรือ กระตุ้นการเข้าชมด้วยการเสียค่าใช้จ่าย โดยการโปรโมท หรือทำโฆษณาจากการจ่ายต่อคลิก PPC โดยคุณสามารถทำได้ทั้งสองแบบ ไม่ว่าจะเป็น SEO หรือ PPC ซึ่งทั้งสองแบบนี้ คือ การทำ SEM นั่นเอง

การทำ SEM ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่

สำหรับการทำ SEM จะเร็ว หรือช้า ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้กระบวนการใดในการเพิ่มอัตราเข้าชมเว็บไซต์ เป็น SEO หรือ PPC 

หากเป็นการทำ PPC จะรวดเร็วมาก เห็นผลว่องไว โดยทาง Google จะเริ่มแสดงโฆษณาของคุณต่อผู้ค้นหาในทันที เพราะฉะนั้นจะสามารถเพิ่มอัตราการเข้าชมได้ภายในไม่กี่นาที

ถ้าเป็นการทำ SEO จะใช้เวลาค่อนข้างนาน อย่างน้อยประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไป แต่อย่างไรก็ตามผลลัพธ์จาก SEO เรียกได้ว่าคุ้มค่ามาก เพราะจะส่งผลดีต่อเว็บไซต์ในระยะยาว

และนี่คือข้อมูลจากการศึกษาเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดทั้งหมด 2 ล้านคำ พบว่ามีเพียงแค่ 22% ของหน้าเว็บใน 10 อันดับแรกเท่านั้นที่ได้รับการเผนเเพร่ทันที

แต่ก็มีบางเว็บไซต์ที่ได้รับการจัดอันดับเร็ว ภายในไม่เกิน 60 วัน หลังจากการทำ SEM ซึ่งจากข้อมูลที่ศึกษาปริมาณการค้นหาของคีย์เวิร์ดหลักลดลงจะช่วยลดเวลาในการทำ SEM ให้ประสบความสำเร็จได้ไวยิ่งขึ้น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากคุณต้องการโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการจัดอันดับอย่างรวดเร็วทันใจ ให้กำหนดเป้าหมายคีย์เวิร์ดหลักที่มีปริมาณน้อย (Low Volume Keywords) ซึ่งคุณสามารถค้นหากคำเหล่านี้ได้ในเครื่องมือฟรีอย่าง Keywords Explorer

การทำ SEM มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

การทำ SEM ไม่มีบริการฟรี ไม่ว่าจะเป็นการทำแบบ SEO หรือ PPC ก็ตาม แต่จะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป ซึ่งหากคุณกำลังทำ PPC อยู่ เมื่อมีการคลิกแต่ละครั้ง คุณจะต้องจ่ายทุกครั้ง ดังนั้นเมื่อมีประมาณการคลิกเพิ่มสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มมากขึ้นตาม

แต่หากคุณกำลังทำ SEO อยู่ จะไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการคลิกเข้าชม แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการทำ SEO เช่นกัน ซึ่งต้องค่อนข้างใช้เวลาในการทำนาน

ตัวอย่างเช่น รายงานสถิติการทำ SEO ของเว็บไซต์นี้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 1 ใน 5 ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา

ในการสร้างเว็บไซต์ให้ติดอันดับแรก ๆ นั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ จะต้องใช้ทั้งความพยายาม และระยะเวลาอย่างมากในการค้นคว้า สร้างเว็บไซต์ และสร้างลิงก์ต่าง ๆ ให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด 

เชื่อได้เลยว่าบางคนต้องทุ่มเงินหลายพันดอลลาร์ต่อชั่วโมงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามการทำ SEO จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า PPC อย่างแน่นอน

ซึ่งนี่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้จากการทำ SEO แต่หากคุณเลือกจะทำ PPC จะมีการประมาณค่าใช้จ่ายอยู่ที่ $1,500 ต่อเดือน 

โดยเว็บเพจนี้ได้รับการเข้าชมแบบออร์แกนิคในแต่ละเดือนในปริมาณเข้าชม ๆ เฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน เป็นระยะเวลา 18 เดือนขึ้นไป พบว่ามีค่าใช้จ่ายประมาณ $27,000 สำหรับการทำโฆษณาแบบ PPC

แต่อย่างไรก็ตามหากคุณเลือกทำ SEM แบบ PPC เท่านั้น เมื่อคุณหยุดจ่ายเงินให้กับ Google รับรองว่าอัตราการเข้าชมเว็บไซต์จะลดลงทันที ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำ SEO ร่วมด้วย เพราะถึงแม้ไม่ได้จ่ายเงิน เว็บไซต์ของคุณก็ยังคงปรากฏให้ผู้ค้นหาได้มองเห็นอยู่ SEO จะช่วยรักษาอัตราการเข้าชมเว็บไซต์ให้คงที่อย่างต่อเนื่อง

เลือกทำ SEM ประเภทไหนดีที่สุด

การทำ SEM ในรูปแบบ SEO จะเห็นได้ว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด ซึ่งสามารถเพิ่มออร์แกนิคทราฟฟิคให้กับเว็บไซต์ได้อย่างคงที่ และต่อเนื่อง แต่ไม่ได้เสมอไป เนื่องจากว่าบางครั้ง SEO อาจจะทำงานได้ดี หรือด้อยกว่าการทำ PPC ก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ด เพราะฉะนั้นการทำ SEM ที่ดีที่สุด แนะนำว่าควรทำทั้ง SEO และ PPC ร่วมกันเลยจะดีกว่า

นี่คือแผนผังแสดงข้อดีข้อด้อยของการทำ SEO และ PPC

โดยจะเห็นได้ว่า SEO ให้ผลลัพธ์ในระยะยาวที่ดีกว่า PPC แต่ PPC ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และดีกว่าในระยะสั้น 

และนี่คือสิ่งที่ต้องตระหนักถึงในการทำ SEM

  • SEO ดีที่สุดสำหรับ Information Keywords
  • PPC ดีที่สุดสำหรับคีย์เวิร์ดที่ยากต่อการจัดอันดับ
  • PPC และ SEO ดีที่สุดสำหรับคีย์เวิร์ดที่มีการโฆษณาจำนวนมาก

การทำ SEO หนึ่งในกลยุทธ์ SEM สำหรับ Information Keywords

สำหรับคีย์เวิร์ดที่ผู้คนใช้ค้นหาสำหรับข้อมูลที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ต่าง ๆ ไม่ใช่คีย์เวิร์ดสำหรับการซื้อ-ขาย สินค้า และบริการ ไม่เหมาะสมกับการทำโฆษณาแบบ PPC เนื่องจากแทบไม่มีผลตอบแทนจากการทำโฆษณาเลย

ตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ด “วิธีกินโปรตีนให้เพิ่มมากขึ้นทำได้อย่างไร” มีการค้นหามากถึง 2,100 ครั้งต่อเดือน และมีค่า CPC เฉลี่ยต่ำ ซึ่งมีค่าอยู่ที่ $1.40 เท่านั้น

แม้ว่าคุณจะสามารถเพิ่มอัตราการเข้าคลิกได้จำนวน 100 ครั้ง ซึ่งต้องมีการจ่ายโฆษณาต่อคลิกถึง $140 แต่อย่างไรก็ตามผู้คนที่คลิกเข้ามาไม่ได้แปลว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อโปรตีนผง และไม่น่าจะมีการซื้อสินค้าจากคุณ เนื่องจากพวกเขาต้องการเรียนรู้วิธีการกินโปรตีนเพิ่มเท่านั้นเอง

ซึ่งเว็บไซต์ที่มีคะแนนโดเมน (DR) ต่ำ จะมีลำดับการจัดอันดับเว็บไซต์ที่ไม่ดี ดังตัวอย่างด้านล่างนี้ โดยการใช้คีย์เวิร์ดคำนี้พบว่ามีค่าคะแนนอยู่ที่ 41 เท่านั้น และมี Backlink เพียงแค่ลิงก์เดียวในเว็บไซต์ ส่งผลให้มีผู้เข้าชมเพียง 566 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น

ซึ่งคะแนนโดเมนของเว็บไซต์นั้นส่วนหนึ่งพิจารณาจาก Organic Traffic โดยหากมีอัตราการเข้าชมเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้นก็จะสามารถเพิ่มคะแนนให้กับเว็บได้ และถ้าอยากให้มีการเข้าชมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ต้องทำโฆษณาแบบ PPC โดยคุณจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพื่อโปรโมทเว็บไซต์ของคุณ

การทำ PPC หนึ่งในกลยุทธ์ SEM ที่ดีที่สุดในระยะสั้น สำหรับ คีย์เวิร์ดที่ยากต่อการจัดอันดับ

คีย์เวิร์ดบางคำ อาจใช้เวลาในการจัดอันดับนานหลายปี ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการจัดอันดับคีย์เวิร์ดคำว่า “ซื้อผงโปรตีน” สำหรับร้านขายอาหารเสริมออนไลน์หน้าใหม่ อาจจะเป็นไปได้ยากมากที่จะถูกจัดอันดับให้อยู่ในหน้าแรก เนื่องจากว่ายังมีคู่แข่ง ที่มีการตลาดแข็งแกร่ง และอยู่มานานอีกหลายเจ้า โดยคู่แข่งเหล่านี้ล้วนเป็นแบรนด์ดังทั้งนั้น เช่น Amazon, Walmart และ GNC เป็นต้น

การทำ PPC จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าคำนึงถึงผลระยะยาวต้องทำ SEO ไปด้วย 

โดยนี่เป็นข้อดี 3 ประการ สำหรับการทำโฆษณาแบบ PPC

  1. คุณสามารถเข้าชมเว็บไซต์ได้ทันที หากมีการชำระเงิน ดังนั้นทราฟฟิกของเว็บไซต์จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วยกระตุ้นยอดขายได้ทันใจ
  2. คุณสามารถทดสอบและปรับประสิทธิภาพของ Google Ads ได้ และสามารถปรับเปลี่ยนราคาสำหรับการว่าจ้างลงโฆษณาได้
  3. คุณจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดที่มีมูลค่า และคุณภาพสูง โดยทาง Google Ads จะแสดงข้อมูล Conversion สำหรับคีย์เวิร์ดที่คุณกำลังเสนอราคา ซึ่งสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการค้นหาคีย์เวิร์ดสำหรับนำไปใช้ในการทำ SEO

ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังขายโปรตีนในรูปแบบผง 

หากมีการเสนอราคาโฆษณา และมีการจ่ายสำหรับการจ้างลงโฆษณาเรียบร้อยแล้ว ทาง Google ก็จะจัดการแสดงผลเว็บไซต์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นทันที 

และภาพด้านล่างนี้ เป็นข้อมูลการรายงานจากทาง Google Ads

การเลือกใช้คีย์เวิร์ดถือว่าสำคัญ หากเปลี่ยนคีย์เวิร์ดให้มีความเจาะจงมากขึ้น เช่น “โปรตีนผงคาร์โบไฮเดรตต่ำ” และ “โปรตีนผงออร์แกนิค” จะมีอัตราส่วนของการเข้าชมเนื้อหาในเว็บไซต์ หรือ Conversion Rate ที่สูงกว่าคีย์เวิร์ดกว้าง ๆ ทั่วไป

ซึ่งคีย์เวิร์ดเหล่านี้ เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการทำ SEO โดยเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ SEM ที่ส่งผลดีในระยะยาว

โดยหากอยากทราบคีย์เวิร์ดแต่ละคำนั้นมีความยากง่ายเพียงใด สามารถดูได้ที่ค่า Keywords Difficulty (KD) จากโปรแกรม Ahrefs’ Keywords Explorer  ได้เลย

การใช้ PPC และ SEO ร่วมกัน สุดยอดกลยุทธ์ SEM สำหรับคีย์เวิร์ดหลักที่มีโฆษณาจำนวนมาก

Google จะมีการแสดงโฆษณาสำหรับคีย์เวิร์ดบางคำมากกว่าคำอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น มีโฆษณาทั้งหมดอยู่ 4 รายการสำหรับคีย์เวิร์ด “ประกันภัยรถยนต์”

การจัดอันดับคีย์เวิร์ด “ประกันภัยรถยนต์” อาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีคะแนน KD อยู่ที่ 88 คะแนน ซึ่งเรียกว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างยากเลยทีเดียว ดังนั้นหมายความว่าคุณอาจต้องการลิงก์ย้อนกลับเป็นจำนวนมาก เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าชม และเพิ่มอันดับของเว็บไซต์

ดังนั้นมาลองดูคีย์เวิร์ด “ประกันภัยรถยนต์ระยะสั้น” กัน

ซึ่งคีย์เวิร์ดนี้ เป็นคีย์เวิร์ดที่มีความยากในระดับต่ำ ดังนั้นเหมาะสมสำหรับการทำ SEO มากกว่า การทำ PPC 

สรุป

การทำ SEM เป็นการใช้กระบวนการ SEO และ PPC เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าชมเว็บไซต์ โดยจะเลือกทำทั้งสองแบบพร้อมกันเลยก็ได้ ซึ่งการทำ SEO จะใช้เวลานานกว่า แต่ให้ผลลัพธ์ในระยะยาวที่ดีกว่า PPC โดยการทำโฆษณาคลิกต่อครั้งบน Google Ads จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า แต่สามารถเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้น ๆ อย่างไรก็ตามแนะนำว่าถ้าอยากให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพสูง พร้อมมีอัตราการเข้าชมสูง ได้รับการจัดอันดับที่ดี ควรทำ SEM ทั้งแบบ SEO และ PPC ไปพร้อมกันเลยจะดีกว่า

สวัสดีค่ะทุกคน ชื่อหมูนะคะ เราเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบงานเขียนมาก ๆ ค่ะ เพราะงานเขียนเปรียบเสมือนกับการสร้างโลกในจินตนาการของเราขึ้นมา โลกใบนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสนุกสนาน เเละความรู้มากมายที่เราสามารถผจญภัยไปได้เเบบไม่มีลิมิต มาท่องโลกของตัวหนังสือไปพร้อมกันนะคะ