Keyword คือ คำ หรือประโยคสั้น ๆ ที่ผู้คนใช้ในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่พวกเขาสนใจบน Search Engine อาทิ Google เป็นต้น ซึ่งหากคุณต้องการค้นหาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับแจ็คเก็ตตัวใหม่ คุณจะต้องพิมพ์คำค้นหาที่มีความเกี่ยวข้องกับแจ็คเก็ต เช่น “แจ็คเก็ตหนังผู้ชาย” บน Google เมื่อกดค้นหาแล้ว ก็จะมีข้อมูลรายการสินค้า ร้านค้าต่าง ๆ แสดงผลลัพธ์บนหน้าจอ
ซึ่ง Keyword เรียกได้ว่า เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญมากสำหรับการทำ SEO โดยในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่อไปนี้
- ทำไม Keyword จึงมีความสำคัญ
- วิธีการแสดง Keyword บน Google
- วิธีการค้นหา Keyword ที่น่าสนใจ
- วิธีการเลือก Keyword ที่เหมาะสม
- วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับคีย์เวิร์ด
- Long-Tail Keyword คืออะไร
ทำไม Keyword จึงมีความสำคัญ
ถ้าถามว่าทำไม Keyword ถึงได้มีความสำคัญมากสำหรับการสร้างเว็บไซต์ การทำบทความ หรือสร้างคอนเทนต์ต่าง ๆ ซึ่งคำตอบก็คือ Keyword เปฺ็นคำ หรือประโยคสั้น ๆ ที่ใช้ในการค้นหา เพื่อให้ปรากฏผลลัพธ์ตามจุดประสงค์ของการค้นหาบน Google หรือ Search Engine อื่น ๆ นั่นเอง
ต้วอย่างเช่น
หากคุณต้องการใช้ Google ค้นหา “วิธีทำ SEO” ก็จะปรากฏผลลัพธ์บนหน้าแรก Google ดังภาพด้านล่างนี้

โดยจะเห็นได้ว่า Keyword คำว่า “How to do SEO” มีปริมาณ Search volume อยู่ที่ 1700 ครั้งต่อเดือน ซึ่งหากเว็บไซต์ของคุณมีความเกี่ยวเนื่องกับ Keyword นี้ และสามารถติดอันดับแรกบนหน้า Google ได้ จะส่งผลให้ปริมาณการเยี่ยมชม หรือ Traffic ของเว็บไซต์มีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นได้อย่างแน่นอน


วิธีการแสดง Keyword บน Google
การแสดงผลลัพธ์ของ Keyword ที่อยู่ด้านบนสุดของหน้า Google มีความเชื่อมโยงกับการเข้าชมปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งถ้าอยากให้ Keyword ที่คุณเลือกนั้นปรากฏเป็นอันดับแรก ๆ สามารถทำได้ 2 วิธี ดังต่อไปนี้
- การทำโฆษณาแบบ Pay Per Click (PPC)
- การทำ SEO หรือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา (Search Engine Optimization)
Pay-Per-Click (PPC)
การทำโฆษณาแบบ Pay-Per-Click (PPC) คือ การที่คุณทำโฆษณา โดยต้องจ่ายเงินให้กับ Google เพื่อแสดงหน้าเว็บของคุณบนผลลัพธ์การค้นหา Keyword หลักโดยเฉพาะ เช่น หากคุณมีการซอฟต์แวร์ด้านการตลาด ผ่านอีเมล คุณสามารถจ่ายเงินให้กับกูเกิ้ล เพื่อที่จะดันให้ Keyword หลักในเว็บไซต์ของคุณปรากฏด้านบนสุดของผลการค้นหาบนหน้าแรกของ Google ได้

การโฆษณาในรูปแบบนี้ จะเรียกว่า “จ่ายต่อคลิก” คุณสามารถเสนอราคาให้กับกูเกิ้ล ในการแสดงลัพธ์ของ Keyword บนหน้าแรก เมื่อมีผู้ค้นหาคลิกเข้าสู่โฆษณา แล้วเข้าสู่เว็บไซต์ของคุณ ทาง Google จะเรียกเก็บเงินใรการคลิกเข้าชมเว็บไซต์แต่ละครั้ง โดยจะเรียกเก็บจากเจ้าของเว็บไซต์ ซึ่งผลลัพธ์ Keyword ที่ใช้โฆษณานี้ จะมีเครื่องหมายว่าถูกทำโฆษณาอยู่ด้วย
Search Engine Optimization (SEO)
SEO เป็นกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการจัดอันดับผลการค้นหาทั่วไปบนกูเกิ้ล โดยพบว่าการใช้คีย์เวิร์ดจะมีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับเว็บมากที่สุด
โดยถ้าทาง Google มองเห็นเพจของคุณ เป็นเพจ หรือเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ และมีอัตราการเข้าชมสูง ส่งผลให้กูเกิ้ลเลือกเว็บไซต์คุณให้ติดอันดับแรกได้ และยังเพิ่มอัตราการเข้าชม (Organic Traffic) ของเว็บไซต์ได้ เช่น บล็อก Ahrefs ที่ Google มองว่าเป็นเว็บบล็อกที่ดี ทำให้มีอัตราการเข้าชมถึง 383,000 ครั้ง จากการค้นหาบน Google ในทุก ๆ เดือน

และนี่แสดงให้เห็นว่า “SEO Audit” เป็นคีย์เวิร์ดสำหรับการค้นหาของเว็บไซต์ Ahrefs ที่ติดอันดับ 1

คีย์เวิร์ด “Keyword research tools”

และ “Local SEO” ก็เป็นอีกหนึ่งคีย์เวิร์ดที่ทำให้เว็บไซต์ Ahrefs ติดการค้นหาบนหน้ากูเกิ้ลเป็นอันดับที่ 1

การใช้คีย์เวิร์ดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากใครที่กำลังทำ SEO อยู่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ต้องเลือกใช้คีย์เวิร์ด หรือคำค้นหาที่เหมาะสม
วิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจ
เมื่อทุกคนทราบกันอยู่แล้วว่า คีย์เวิร์ดมีความสำคัญต่อการค้นหาบนหน้ากูเกิ้ล และมีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่งการเลือกใช้คีย์เวิร์ดให้เหมาะสมกับเว็บไซต์ และเป็นคำที่อยู่ในกระแสก็เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจึงได้มีการค้นหา และวิจัยเกี่ยวกับคีย์เวิร์ด โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้เครื่องมือการค้นหาคีย์เวิร์ด (Keyword Research Tool)
วิธีการใช้งานเครื่องมือนี้ สามารถทำได้โดยการนำคีย์เวิร์ด หรือประโยคสั้น ๆ ที่ต้องการค้นหา ป้อนลงไป จากนั้นจะปรากฏผลลัพธ์เป็นคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกลับมา
ตัวอย่างเช่น
สมมติคุณกำลังขายหูฟังผ่านทางออนไลน์ คำคีย์เวิร์ดหลักควรจะเป็น “หูฟัง”, “earbuds,” “earphones,” และ “beats.” เป็นต้น คุณสามารถป้อนคำเหล่านี้ลงไปในเครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดของ Ahrefs ได้เลย จากนั้นจะปรากฏรายงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแสดงข้อมูลเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดสัมพันธ์ ปริมาณการค้นหาต่อเดือนของแต่ละคำ เป็นต้น

ซึ่งจะเห็นว่ามีการแสดงผลลัพธ์ของคำที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักมากถึงสองล้านรายการ พร้อมกับปริมาณการค้นหารายเดือน ราคาเฉลี่ยของการทำโฆษณาแบบ CPC, CPS ที่ต้องจ่าย และข้อมูลอื่น ๆ อีกหลายรายการ
วิธีการเลือก Keyword ให้เหมาะสม
การเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับเว็บไซต์มีความสำคัญมาก ดังนั้นต้องเลือกให้เหมาะสม ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้ ที่จะช่วยให้คุณเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดให้กับเว็บไซต์ของคุณ
- Search Volume
- Search Intent
- Value
- Keyword Difficulty
Search Volume
ปริมาณการค้นหาของคีย์เวิร์ดแต่ละคำนั้น มีปริมาณไม่เท่ากัน ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความนิยม ตัวอย่างดังภาพด้านล่างนี้ จะเห็นได้ว่า “how to post on instagram” มีปริมาณการค้นหาต่อเดือนอยู่ที่ 35,000 ครั้ง ส่วน “how to get backlinks” มีปริมาณการค้นหาอยู่ที่ 1,200 ครั้ง ต่อเดือน

แต่อย่างไรก็ตามปริมาณของ Search Volume ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณค้นหามากกว่าจะส่งผลให้อันดับของเว็บไซต์มีการจัดอันดับสูงกว่าเว็บที่ใช้คีย์เวิร์ดอื่น ๆ ที่มีปริมาณการค้นหาน้อยกว่า โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่สร้างมาเพื่อธุรกิจ ซึ่งการเข้าชมเยอะ ไม่ได้หมายความว่าสินค้า หรือบริการ จะถูกซื้อเพิ่มขึ้นตามปริมาณการเข้าชมนั่นเอง
การเลือกใช้คีย์เวิร์ดควรจะเลือกคำที่มีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ และเปรียบเทียบปริมาณ Search Volume เพราะอย่างน้อยคำที่มีปริมาณการค้นหาเยอะ ก็จะทำให้ผู้คนมีโอกาสพบธุรกิจของคุณได้มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น
คีย์เวิร์ด “เคล็ดลับ SEO” มีปริมาณการค้นหาต่อเดือนอยู่ที่ 2,200 ครั้ง เปรียบเทียบกับคำว่า “Image SEO” ที่มีปริมาณการค้นหาอยู่ที่ 350 ครั้งต่อเดือน

ซึ่งถ้าหากคุณอยากทราบว่าคีย์เวิร์ดหลักของคุณนั้นมีปริมาณการค้นหาแนวโน้มเป็นอย่างไร สามารถใช้เครื่องมือโปรแกรมค้นหาคีย์เวิร์ดของ Ahrefs (Ahrefs’ Keywords Explorer) ได้ เพียงแค่ป้อนคีย์เวิร์ดลงไป จากนั้นเลือกประเทศที่ต้องการ กดค้นหา จะปรากฏปริมาณการหาค้นหาของคีย์เวิร์ดที่สนใจ โดยจะระบุเป็น Search Volume ของประเทศนั้น ๆ และปริมาณการค้นหาจากทั่วโลก

ข้อควรรู้
แม้ว่าปริมาณการค้นหาจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีในการบ่งบอกถึงศักยภาพของการเข้าชมทั่วไป จากผู้ค้นหา แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการสำหรับตัวชี้วัดนี้
เมื่อพิจารณาจากปริมาณการค้นหา คุณจะทราบได้ว่าหน้าเว็บที่มีอันดับสูงสุด สำหรับการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด “เคล็ดลับ SEO” จะมีการเข้าชมแบบ Organic Traffic มากที่สุด แต่ถ้าตรวจสอบหน้าอันดับสูงสุดในปัจจุบันของคีย์เวิร์ดแต่ละคำใน Site Explorer จะเห็นผลที่ตรงกันข้ามกัน ดังภาพต่อไปนี้


เพราะฉะนั้นมาเรียนรู้เพิ่มเติมกันดีกว่าว่าเหตุใดปริมาณการค้นหา หรือ Search Volume จึงไม่ใช่ตัวชี้วัดสำคัญในการตรวจสอบประสิทธิภาพของการเข้าชม หรือ Traffic ของเว็บไซต์
Search Intent
ลองจินตนาการดูว่าหากคุณขายหุ่นยนต์สำหรับดูดฝุ่นทางออนไลน์ เมื่อพิจารณาจากปริมาณการค้นหาคำว่า “หุ่นยนต์ดูดฝุ่น” ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมในการจัดอันดับหน้าเพจผลิตภัณฑ์ประเภทนี้

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีผู้ค้นหาเกี่ยวกับ “หุ่นยนต์ดูดฝุ่น” เป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ค้นหาจะสั่งซื้อสินค้าของคุณ โดยส่วนใหญ่มักจะค้นหาเพื่อดูข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตรวจเช็คราคา เปรียบเทียบว่ารุ่นไหนดีที่สุด เสียมากกว่า
ซึ่งภาพข้อมูลด้านล่างนี้จะแสดงให้เห็นว่าส่วนใหญ่จะเป็นการค้นหาว่าหุ่นยนต์ดูดฝุ่น เเบรนด์ไหนดีที่สุดในปี 2020

Google จะแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องมากที่สุดแก่ผู้ค้นหา ซึ่งการแสดงผลที่เกี่ยวข้องกับ “หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ดีที่สุด” เป็นส่วนมาก แสดงว่าผู้คนต้องการทราบถึงข้อมูลเหล่านี้
ในกระบวนการ SEO สิ่งนี้ เราจะเรียกได้ว่าคือความตั้งใจในการค้นหาของผู้คนบน Google
หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ได้รับโอกาสถูกจัดอันดับให้ติดหน้าแรกบน Google คุณต้องสร้างเนื้อหาในเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับความตั้งใจ หรือเทรนด์ในการค้นหาของผู้คน ซึ่งรับรองว่าเว็บไซต์จะมีอัตราการเข้าชมที่สูงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
Value
ผู้คนส่วนใหญ่มักจะสนใจเกี่ยวกับปริมาณการค้นหาคีย์เวิร์ด (Search Volume) และเทรนด์ในการค้นหา โดยที่ไม่ได้ใส่ใจต่อมูลค่าของคีย์เวิร์ด ซึ่งเรียกได้ว่าพลาดเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมติคุณขายสินค้าชิ้นหนึ่ง เป็นเตาอบพิซซ่า ผ่านทางออนไลน์ คุณอาจจะต้องใช้คีย์เวิร์ด เช่น “แป้งพิซซ่า” ที่มีการค้นหามากถึง 43,000 ครั้งต่อเดือน ซึ่งก็เป็นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเตาอบพิซซ่าที่คุณกำลังขายอยู่

แต่อย่างไรก็ตามคุณต้องคิดด้วยว่าจะมีคนที่อยากจะซื้อเตาอบพิซซ่าจริง ๆ อยู่กี่คน เพราะส่วนใหญ่ผู้คนมักจะค้นหาเกี่ยวกับสูตรทำพิซซ่าอย่างง่าย และรวดเร็ว หรือส่วนผสมสำหรับทำพิซซ่ามากกว่า โดยไม่ได้มีจุดประสงค์ในการซื้อเตาอบพิซซ่าเลย
แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคีย์เวิร์ดที่เลือกมานั้นมีมูลค่ามากน้อยเพียงใด?
หากคุณกำลังวิเคราะห์คีย์เวิร์ดใน Keyword Research Tool เช่น Keywords Explorer คุณจะสามารถดูค่า CPC เพื่อดู “มูลค่า” หรือ “Value” แบบคร่าว ๆ ได้ ข้อมูลนี้จะแสดงให้เห็นว่าคีย์เวิร์ดนี้มีผู้ที่ยินดีจ่ายค่าโฆษณา ซึ่งจะจ่ายจากค่าเฉลี่ยการคลิกคีย์เวิร์ดเข้าสู่เว็บไซต์ในแต่ละครั้ง

CPC (Cost Per Click) คือ ต้นทุนต่อคลิก เป็นจำนวนเงินที่คุณจะได้รับในแต่ละครั้งที่มีผู้ค้นหาคลิกโฆษณาเข้ามา ซึ่งผู้ลงโฆษณานั้นจะทำการกำหนด CPC สำหรับการโฆษณาแต่ละครั้ง โดย CPC เป็นเมทริกซ์ที่ใช้กับโฆษณาทุกประเภททั้งในรูปแบบรูปภาพ วีดีโอ และข้อความ หากมียอดคลิก หรือการเข้าชมโฆษณาสูง แสดงว่าโฆษณาที่จ้างลงนั้นกำลังได้รับความสนใจ

Keyword Difficulty
สมมติว่าหากคุณพบคีย์เวิร์ดที่สมบูรณ์แล้ว และมีผู้คนจำนวนมากเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ แสดงว่าเว็บไซต์ได้มีเนื้อหา คอนเทนต์ที่ตรงกับความตั้งใจในการค้นหา และเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณค่า

ซึ่งภาพนี้แสดงให้เห็นว่าคีย์เวิร์ด “mortgage payment calculator” มีคะแนนความยากของคำอยู่ที่ 84 เต็ม 100 โดยถือว่ามีความยากค่อนข้างสูง ซึ่งความยากในระดับนี้บ่งบอกได้ว่าเว็บไซต์ของคุณต้องการ Backlinks อยู่ที่ประมาณ 455 เว็บไซต์ในการเชื่อมโยงเข้ามา เพื่อให้เว็บที่มีคีย์เวิร์ดนี้ถูกจัดอันดับให้อยู่ใน 10 อันดับแรก ซึ่ง Backlinks นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเว็บ ดังนั้นหากอยากให้เว็บติดอันดับแรกจะต้องมีการรับ Backlinks ที่มีคุณภาพสูง
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการจัดอันดับเว็บไซต์ พิจารณาจากหลายปัจจัยที่ไม่ใช่เพียงแค่คีย์เวิร์ดเท่านั้น ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลายประการ
วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับคีย์เวิร์ด
หากคุณต้องการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับคีย์เวิร์ด สามารถทำได้ดังนี้
- ต้องมีคีย์เวิร์ดใน Title Tag
- ต้องใส่คีย์เวิร์ดใน URL
- ในหน้าเพจจะต้องมีการกล่าวถึงคีย์เวิร์ดทั่วหน้าเพจ
- ต้องมี Long-Tail คีย์เวิร์ดในบทความของคุณ
วิธีทั้งหมดที่กล่าวมานี้ สามารถที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดได้จริง แต่ไม่ใช่วิธีหลัก ซึ่งวิธีหลักสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพคีย์เวิร์ด คือการเลือกคีย์เวิร์ดที่เเมตช์กับ Search Intent เช่น หากคุณกำลังค้นหาคำว่า “cast iron skillet” ส่วนใหญ่ทางกูเกิ้ลจะเลือกแสดงเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับโหมดการซื้อ มากกว่าโหมดการเรียนรู้ต่าง ๆ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม 5 อันดับแรกของการค้นหาเป็นเว็บเพจผลิตภัณฑ์ในหมวดหมู่เครื่องใช้ จากเว็บไซต์ที่เป็นอีคอมเมิร์ช

การเพิ่มประสิทธิภาพคีย์เวิร์ด ไม่เพียงต้องสร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับ Search Intent เท่านั้น ยังต้องคำนึงถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้คนหา และต้องนึกถึงผลลัพธ์ที่ผู้ค้นหาต้องการจะเห็น
ตัวอย่างเช่น
หากคุณต้องการจัดอันดับคีย์เวิร์ด “Backlinks” คุณสามารถตรวจสอบได้ที่หน้าเว็บอันดับสูงสุดที่เป็นของข้อมูลปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นเนื้อหาที่คุณควรต้องสร้างขึ้นในเว็บไซต์
เช่น เว็บไซต์ 6 อันดับแรกนี้ มีการพูดถึง “What are backlinks?”

เพื่อเพิ่มโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการจัดอันดับข้อความ หรือคีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหานี้ คุณต้องตรวจสอบด้วยว่าเว็บที่สามารถติดอันดับแรกได้นั้น มีองค์ประกอบอะไรที่อีกบ้าง ที่คุณยังไม่มี ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับบนหน้าแรก สำหรับคำค้นหา “ฺBacklinks” จะมีเนื้อหาหัวข้อย่อยต่าง ๆ ดังนี้
- Backlinks คืออะไร?
- ทำไม Backlink ถึงได้มีความสำคัญ
- Backlink มีทั้งหมดกี่ประเภท
เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าผู้ค้นหาส่วนใหญ่ต้องการทราบข้อมูลตามหัวข้อย่อยที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งควรเป็นหัวข้อที่อยู่ในเว็บไซต์ของคุณด้วยเช่นกัน
Long-Tail Keyword คืออะไร
คำว่า Long-Tail Keyword เชื่อว่าเป็นคำที่คุ้นหูของใครหลายคน ถ้าหากเคยอ่านเกี่ยวกับข้อมูลการวิจัยคีย์เวิร์ดมาก่อน ซึ่งพูดง่าย ๆ ว่าเป็นคีย์เวิร์ดที่ประกอบด้วยคำจำนวนมาก คล้าย ๆ กับเป็นวลีนั่นเอง
Long-Tail Keyword เป็นคำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาค่อนข้างต่ำ แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นเพียงแค่วลีสองสามคำ ก็ค่อนข้างจะเป็นคำค้นหาที่นิยมมากเลยทีเดียว ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

ผู้คนยังกล่าวอีกว่า Long-Tail Keywords นั้นมีการจัดอันดับที่ง่ายกว่าคีย์เวิร์ดสั้น ๆ แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะ Long-Tail Keywords หลัก ๆ จะมี 2 ประเภท ได้แก่ “Topical long-tail keywords” และ “Supporting long-tail keyword” โดยแบบ Topical จะมีความแม่นยำกว่าในการค้นหา
Supporting Long-Tail keyword คืออะไร
การใช้ Supporting Long-Tail เพื่อค้นหาหัวข้อต่าง ๆ บนกูเกิ้ล ไม่ได้รับความนิยมมากนัก ซึ่งแสดงผลดังภาพด้านล่างนี้ จะเห็นได้ว่ามีปริมาณการค้นหาที่ต่ำมาก

จะเห็นได้ว่าแต่ละคำนั้นมีการค้นหาน้อยกว่า 50 ครั้งต่อเดือน เเต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับการลดน้ำหนักเช่นเดียวกัน อย่างคำว่า “How to lose weight” พบว่ามีปริมาณการค้นมากถึง 89,000 ครั้งต่อเดือนในประเทศสหรัฐอเมริกา

ซึ่ง Supporting long-tail keywords เหล่านี้ โดยเกี่ยวกับเรื่องของการลดน้ำหนัก ก็ยังถูกจัดให้อยู่ในอันดับหน้าเเรกของกูเกิ้ลอีกด้วย โดยการจัดอันดับนั้นอาจจะดูคำค้นหาที่เกี่ยวเนื่องกันมากกว่าปริมาณการค้นหาก็เป็นไปได้

ซึ่งนี่ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะจากการวิจัยพบว่าเว็บไซต์ที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุด จะมีคีย์เวิร์ดอื่น ๆ หลายคำที่ไม่ใช่คีย์เวิร์ดหลัก เป็นองค์ประกอบด้วย

ซึ่งการจัดอันดับของ Supporting Long-Tail Keywords ค่อนข้างจะยาก ซึ่งไม่ค่อยได้รับความนิยม หากคุณอยากทราบว่าคีย์เวิร์ดแบบนี้จะมีระดับความยากอยู่ที่เท่าไหร่ สามารถตรวจสอบจากคะแนน Keyword Difficulty ได้เลย

แนะนำเลยว่าหากใครที่อยากเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ไม่ควรใช้ supporting long-tail keywords ควรเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่กระชับ สั้น และได้รับความนิยมสูง
Topical Long-Tail Keyword คืออะไร
คีย์เวิร์ดที่เป็น Topical Long-Tail Keyword ก็มีปริมาณการค้นหาต่ำเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น “keyword cannibalization” เป็นคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาอยู่ที่ 250 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น

โดยปริมาณการค้นหาที่น้อยนนี้อาจจะเกิดได้เนื่องจากว่าเป็นหัวข้อที่ไม่ได้รับความนิยมเสียมากกว่า จึงทำให้มี Search Volume ที่ต่ำได้
ข้อดีของ Topical long-tail keywords มีดังนี้
- ง่ายต่อการจัดอันดับ เนื่องจากมีการแข่งขันน้อยกว่า จึงทำให้ไม่เป็นที่น่าสนใจจากผู้ค้นหา
- เป็นคีย์เวิร์ดที่ช่วยเพิ่ม Traffic ของเว็บไซต์ได้ แต่จะต้องมีการจัดอันดับคีย์เวิร์ดเสียก่อน
คุณสามารถค้นพบ Topical long-tail keywords ได้จากเครื่องมือ Keyword Explorer โดยการป้อนหัวข้อที่สนใจลงไป และจากนั้นเลือกการกรองคีย์เวิร์ดหลัก ที่มีปริมาณค้นหาน้อย และมีระดับความยากต่ำ เช่น ค้นหาคำว่า “Parent topic” จะมีคีย์เวิร์ดที่เป็น Topical long-tail keywords แสดงให้เห็นหลายคีย์เวิร์ดเลยทีเดียว

ตัวอย่างเช่นหัวข้อ “keto and migrants” จะเป็นเหมือนคีย์เวิร์ดหลัก หากเราดูที่ผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดนี้ จะพบว่าหน้าเว็บหลายหน้าได้รับการเข้าเยี่ยมชมไม่กี่ร้อยครั้งต่อเดือน และยังมี Backlink น้อยมากอีกด้วย

โดยการจัดอันดับคีย์เวิร์ดรูปแบบนี้จะค่อนข้างง่าย แต่อย่างไรก็ตามเว็บไซต์ก็ต้องมีการปรับเนื้อหาให้เหมาะสม
สรุป
คีย์เวิร์ด เรียกได้ว่าเป็นรากฐานของการทำ SEO หากคุณไม่สามารถสร้าง หรือเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาให้เหมาะสมกับเครื่องมือการค้นหา (Search Engine) ต่าง ๆ ยอดการเข้าชมเว็บไซต์ และอันดับเว็บไซต์ไม่มีวันที่จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่น ดังนั้นจึงต้องมีการเลือกใช้คีย์เวิร์ด และปรับให้เหมาะสมกับเว็บไซต์ ซึ่งต้องดูที่จุดประสงค์การค้นหา และเทรนด์การค้นหา ดังนั้นคีย์เวิร์ดเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในการทำเว็บไซต์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่เพิ่ม Organic Traffic ให้เว็บไซต์ และดันเว็บให้ติดหน้าแรกได้