คู่มือ OFF-PAGE SEO ฉบับสมบูรณ์

นี่เป็นคู่มือสำหรับ Off-Page SEO ฉบับสมบูรณ์ ที่คุณจะสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจวิธีการสร้างสิ่งที่ Google ต้องการ รวมไปถึง Backlink, การสร้าง Brand, E-A-T เป็นต้น

Chapter 1: พื้นฐานการทำ Off-Page 

อันดับแรก เรามาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Off-Page กับ On-Page SEO กันก่อน

Off-Page SEO คืออะไร

การทำ Off-Page SEO คือการที่เราพยายามปรับปรุง SEO ให้กับเว็บไซต์โดยพยายามทำให้เว็บไซต์ของเราอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นบน Search Engine  แต่เราจะทำการปรับปรุงทั้งหมดบนเว็บไซต์หรือในระบบอื่นๆที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของเรา

วิธีการทั่วไปที่ใช้ในการทำ Off-Page SEO ได้แก่ การทำ Backlink , การทำให้ Brand Keyword ของเราติดอันดับดีขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มจำนวนแชร์บน Social Media ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของเราได้นั่นเอง

ทำไม Off-Page SEO ถึงสำคัญ

Backlink หรือ ลิงก์ต่างๆที่เว็บไซต์เราได้มา ถือว่าเป็นระบบพื้นฐานของ Google ทั้งสิ้น

หากวัดจากการศึกษา Ranking Factor ในปี 2020 เราจะเห็นได้ถึงความสัมพันธ์ของจำนวน Backlink และ อันดับบน Google ตามรูปด้านล่าง

นอกจากนี้ ทาง Google ยังได้มีการให้ข้อมูลว่า พวกเขายังพยายามใช้ PageRank อยู่ในขณะนี้

Google กล่าวว่า “ลิงก์เป็นส่วนหนึ่งของการทำ Off-Page SEO ซึ่งทาง Google ยังคงใช้ปัจจัยอื่นๆสำหรับการวัดคุณภาพของ Off-Page SEO อีกด้วย”

เช่น เครื่องมือการวัดคะแนนคุณภาพของทาง Google นั้น ได้มีการใช้ความคะแนนความนิยมของเว็บไซต์จาก Backlink เพื่อวัดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์อีกด้วย

คะแนนความนิยมนั้นยังรวมไปถึง การรีวิวออนไลน์

การได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

และ การถูกพูดถึงในเว็บไซต์ข่าวหรือ  Wikipedia

โดยจากข้อมูลสามารถสรุปได้ว่า ลิงก์เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับ Off-Page SEO แต่ก็ยังคงมีปัจจัยอื่นๆที่สำคัญไม่แพ้กันร่วมด้วย

ความแตกต่างระหว่าง On-Page SEO กับ Off-Page SEO

On-Page SEO คือการทำและปรับปรุงทุกอย่างที่เกี่ยวกับเว็บไซต์ของเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหา, Title Tag, การใช้ Keyword, การตั้ง URL เพื่อ SEO , การทำ Internal link, การทำ Image Alt Text ส่วนการทำ Off-Page SEO จะอยู่นอกเหนือจากเว็บไซต์ เช่น การสร้าง Backlink กลับมาที่เว็บไซต์ หรือการถูกพูดถึงในเว็บไซต์อื่น

ตัวอย่างจากทาง Backlinko คือบทความที่เคยลงไปเมื่อหลายปีที่แล้วเกี่ยวกับ รายชื่อเครื่องมือของ SEO ที่สามารถใช้ได้

วิธีการปรับปรุงเว็บไซต์นี้ให้ดีขึ้น คือการใช้ Keyword ที่ต้องการใน Title tag และ การใช้ Keyword นี้ใน Content หรือเนื้อหาซ้ำหลายๆครั้ง

นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิค LSI Keywords ซึ่งจะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์มากขึ้น

ถึงแม้ว่าการปรับปรุงทั้งหมดที่กล่าวมา จะทำให้เว็บไซต์นั้นถือว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสำหรับ SEO แล้ว แต่ก็ยังมีจุดอื่นที่สามารถปรับปรุงได้เพิ่มขึ้นอีก

เพราะ Keyword ที่จะใช้ทำ SEO นั้นมีความยากในการที่จะทำให้ติดอันดับหนึ่งถึง 81 คะแนน อ้างอิงจาก Ahrefs

ดังนั้น หากต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับหนึ่งใน Google ด้วย Keyword ที่ความยากดังรูปด้านบน จะต้องใช้การทำ Off-Page SEO เข้ามาช่วยเสริมด้วย

ดังนั้นทาง Backlinko จึงได้ทำการโปรโมทหน้าบทความนี้ใน Social Media อีกด้วย

มากไปกว่านั้น ยังใช้การทำ Email Outreach ในการสร้างลิงก์กลับมาที่หน้านี้อีกด้วย และด้วยการทำทั้ง On-Page และ Off-Page SEO ร่วมกัน ทำให้เว็บไซต์ได้ติดเป็นอันดับสามสำหรับ Keyword นี้

โดยในบทต่อไปเราจะลงรายละเอียดไปที่กลยุทธ์การทำ Off-Page SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ

Chapter 2 : สร้าง Backlink เพื่อเสริม Off-Page SEO

ในการทำ Off-Page SEO นั้น Backlink ถือว่ามีความสำคัญมาก โดย การสร้าง Backlink ที่ดีนั้นคือการได้มาซึ่งลิงก์ที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่มีลิงก์จำนวนมาก และถ้าหาก คุณต้องการลิงก์ที่สามารถเพิ่ม Ranking ใน SERP ได้แล้วหล่ะก็ คุณจะต้องหาลิงก์ที่มีคุณภาพเข้าเว็บไซต์เท่านั้น สำหรับในบทนี้ เราจะมาพูดถึง 4 วิธีการในการได้ลิงก์คุณภาพเข้าเว็บไซต์ของเรากัน

เริ่มจากการหาข้อมูลก่อน

ก่อนหน้านี้ ทาง Backlinko ได้ทำการตรวจสอบลิงก์ที่ชี้ไปยังเว็บไซต์ของทาง Moz ตามรูปด้านล่าง

จากภาพจะเห็นได้ว่า ลิงก์ส่วนใหญ่ที่ได้มานั้นเกิดจากการที่เว็บไซต์อื่นนำบทความของ Moz ไปแชร์หรือมีการอ้างอิงถึง และทำการส่งเป็น Backlink กลับมาให้หน้านั้นผ่านทาง Long Tail Keyword โดย Long Tail Keyword นั้นถือเป็น 70% ของการค้นหาทั้งหมด

ซึ่งหมายความว่า  การที่เว็บไซต์ถูกแชร์หรือถูกพูดต่อนั้น ไม่ได้แปลว่าเนื้อหาในเว็บไซต์นั้นมีคุณภาพดีมาก แต่มักจะถูกพูดถึงหากมีค่าสถิติอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับเว็บไซต์เหล่านั้นหากมีการอ้างอิงถึง ทาง Backlinko ได้เห็นถึงจุดนี้ และเริ่มทำการทดสอบโดยการใช้สถิติ หรือตัวเลขมาทำเป็น Content หรือบทความในเว็บไซต์

พวกเขาได้ลงเวลาและเงินในการสร้าง ลิสต์รายการของ Email marketing ตามรูปด้านล่าง

นอกจากนี้ พวกเขายังได้ทำการเน้น Keyword ที่คนส่วนให้ความสนใจเกี่ยวกับ Email Marketing หรือทำการค้นหาระหว่างที่พวกเขากำลังทำบทความ เช่น “Email Marketing Stats”

ผลที่ได้คือ หน้าเว็บนี้สามารถติดหน้าแรกบน Google ได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ และหลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกเขาได้รับลิงก์ และถูกพูดถึง ดังรูปด้านล่าง

การสร้างลิงก์จาก Content ที่เสียแล้ว

อันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่แตกต่างจากความรู้เดิมเกี่ยวกับการสร้างลิงก์จากลิงก์เสีย (Broken Link Building) โดยการสร้างลิงก์จากลิงก์ที่เสียนั้น จะต้องเริ่มจากการหาลิงก์ที่เสียและส่งไปยังหน้าเว็บไซต์ที่เราต้องการ แต่ปัญหาคือ การหาลิงก์เสียที่เหมาะกับเว็บเรานั้นเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมาก ทาง The Kalling จึงขอเสนอ Broken Content Linking หรือการสร้างลิงก์จากบทความที่เสียแล้ว โดยเราสามารถทำได้โดยการใช้ Ahrefs ในการหาลิงก์เสียจาก Search Engine

หลังจากนั้นเราจะใช้วิธี Broken Link Building ในการสร้างลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา

ตัวอย่าง จากเว็บไซต์ของ Backlinko ที่เคยสร้าง คู่มือการทำ Email Marketing

ซึ่งเริ่มจากการใส่คำว่า “Email Marketing” เข้าไปที่ Content explorer

จากนั้นให้เลือกเป็น “Only Broken”

เราจะได้ผลลัพธ์ของลิงก์ที่เสียแล้วจากเว็บไซต์ต่างๆ

ซึ่งเราสามารถสร้างลิงก์จากลิงก์เสียได้ด้วยวิธีนี้นั่นเอง

การสร้างบทความให้ยาวขึ้น

การที่หน้าเว็บไซต์มีเนื้อหายาวๆนั้น ไม่ได้เป็นการการันตีว่าเราจะได้ลิงก์ แต่เราอาจจะได้คนที่ชอบเว็บไซต์ของเรามากขึ้น โดยทาง Backlinko ได้ทำการวิเคราะห์เว็บไซต์มากกว่า 900 ล้านบทความด้วย Buzzsumo และได้ค้นพบว่า บทความที่ยาวนั้นมักจะได้ลิงก์มากกว่าบทความปกติถึง 77% 

กลยุทธ์ในการทำ Guest Posting

การทำ Guest Blogging นั้นสามารถช่วย Off-Page SEO ได้ในหลายด้าน

ข้อแรก การทำ Guest Post จะช่วยให้ Brand ของคุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น

ข้อสอง การทำ Guest post ยังช่วยเสริมให้ Brand ถูกพูดถึงมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการลิงก์มาก็ตาม

การที่ Brand ถูกพูดถึงแบบไม่ได้ลิงก์อาจจะไม่ได้มีประโยชน์กับ Backlink แต่สามารถช่วยในภาพรวมได้ และสุดท้าย คุณสามารถสร้างลิงก์ จากการทำ Guest Post ได้

ซึ่งการทำ Guest Post ยังสามารถช่วยในเรื่องของ Ranking ได้อีกด้วย แต่มีข้อแม้ว่าการทำ Guest Post จะช่วย Ranking ได้ หากคุณทำ Guest Post ในเว็บไซต์ที่มีประเภทธุรกิจอยู่ในกลุ่มเดียวกับเว็บไซต์ของคุณ

รูปด้านล่างคือ ตัวอย่างที่ทาง Backlinko ได้ทำการ Guest Post ในเว็บ Buffer Blog 

ถึงแม้ว่าบทความของ Buffer Blog นั้นจะเกี่ยวข้องกับ Social Media ในขณะที่เว็บของ Backlinko นั้นเกี่ยวข้องกับ SEO แต่ก็ถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน

Chapter 3: การสร้าง Brand

ในบทความนี้เราจะพูดถึงเนื้อหาที่ถูกมองข้ามไปมากที่สุดในโลกของ Off-Page SEO นั่นก็คือ การสร้าง Brand ซึ่งการสร้าง Brand ให้มีตัวตนนั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่ Google จะใช้ในการวิเคราะห์ว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่

โดยคุณ Eric Schmidt จากทาง Google ได้กล่าวไว้ว่า “Brand คือการหาทางออกให้กับปัญหาไม่ใช่เป็นตัวสร้างปัญหา” ไปดูวิธีการเพิ่มตัวตนของ Brand กัน

เริ่มจากการตรวจสอบการค้นหาเกี่ยวกับ Brand

การค้นหาเกี่ยวกับ Brand นั้นหมายถึงจำนวนครั้งที่ผู้คนทำการค้นหาเกี่ยวกับ Brand ของคุณบน Google ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาชื่อ Brand เช่น “Backlinko” หรือ การค้นหาชื่อ Brand ร่วมกับสินค้าและบริการ เช่น “Backlinko SEO tools”

โดยคุณสามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้จาก Google Search Console Performance Report

คุณสามารถดูใน “Impressions” เพื่อหาจำนวนครั้งที่ผู้คนทำการค้นหา Brand ของคุณ เช่น ตัวเลข 38,997 หมายถึง จำนวนครั้งที่ผู้คนค้นหาคำว่า “Backlinko” ในช่วงสามเดือนย้อนหลัง

หากคุณต้องการที่จะเพิ่มปริมาณการค้นหา Brand ของคุณในอนาคต คุณอาจจะต้องใช้ช่องทางอื่นช่วย

การลงทุนสร้าง YouTube Channel

การทำ YouTube Marketing คือหนึ่งในช่องทางการสร้างตัวตนของ Brand ได้ดีที่สุด โดยเฉพาะจำนวนการค้นหา Brand เพราะว่า วีดีโอนั้นสามารถเข้าถึงคนได้ในปริมาณมาก เช่น วีดีโอของทาง Backlinko นั้นสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมกว่า 120,000 ครั้ง ในทุกๆเดือน

ซึ่งการเข้าถึงวีดีโอเหล่านี้ทำให้ผู้คนพูดถึงและเขียนบทความที่เกี่ยวกับ Backlinko บนโลกออนไลน์มากขึ้น

นอกจากนี้การมีผู้ติดตามใน Social Media ต่างๆนั้นก็ถือว่าเป็นหนึ่งในการสร้าง Brand เช่นกัน เมื่อคนได้ดูวีดีโอและชื่นชอบในเนื้อหา ผู้คนมักจะนำชื่อ Brand ไปทำการค้นหาต่อใน Google ดังนั้น หากคุณทำวีดีโอได้ดีและน่าสนใจ คุณอาจจะได้จำนวนการค้นหาเกี่ยวกับ Brand เพิ่มขึ้นในอนาคตก็เป็นได้

ตัวอย่าง เช่น เปรียบเทียบการค้นหา “Backlinko” บน Google เทียบกับ จำนวนยอดวิวที่ได้ใน YouTube Channel ของทาง Backlinko

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มในอัตราที่เท่ากัน แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงเลยทีเดียว

การติดตามผลลัพธ์การถูกพูดถึงของ Brand

วิธีนี้สามารถทำได้ไม่ยากโดยการดูจำนวนการพูดถึง Brand บนเว็บไซต์ข่าว บทความชื่อดัง หรือ Forum ต่างๆ และลองดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งมีเครื่องมือในการช่วยวัดผลของ Brand มากมายเช่น Mention.com ซึ่งสามารถดูการเปลี่ยนแปลงของการพูดถึง Brand ในปีที่ผ่านมาได้ด้วย

การทำ Content ที่มีการใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้

การทำบทความที่มีข้อมูลหรือสถิติที่น่าเชื่อถือจะช่วยสร้างลิงก์ที่เกิดจากการอ้างอิงสถิติดังกล่าวได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยการทำ Off-Page SEO ได้โดยตรง

จากตัวอย่างบทความเรื่อง การทำ Email outreach สามารถสร้าง Backlink ได้มากกว่า 964 ลิงก์ จาก 462 Domain 

นอกจากนี้ยังได้มีการแชร์จาก Social Media เยอะมาก

แต่การได้แชร์จาก Social Media นั้นไม่ได้มีส่วนช่วยเรื่อง Ranking จากการอ้างอิงของ Google 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว Social Sharing ได้มีส่วนช่วย SEO ในทางอ้อมอยู่แล้ว เพราะการได้แชร์เยอะๆจาก Social media จะเป็นการทำให้ Brand เป็นที่รู้จักมากขึ้น

เช่น บทความเรื่องการทำ SEO ของทาง Backlinko ถูกแชร์และพูดถึงใน Subreddit รวมไปถึง Twitter และ Linkedin ด้วย

Chapter 4 : การปรับปรุงและพัฒนา E-A-T

หลักการของ E-A-T ในโลกของ SEO เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับ Off-Page SEO ซึ่งในการทำ E-A-T นั้นมีมากกว่าแค่การใส่ข้อมูลของผู้เขียนอย่างเดียว เพราะว่า Google นั้นวัดผล E-A-T จากสัญญาณที่ได้จากเว็บไซต์อื่นที่เชื่อมอยู่กับเรา ดังนั้นหากใครกำลังต้องการที่จะทำ E-A-T ให้กับเว็บไซต์ บทนี้น่าจะมีประโยชน์กับคุณ

การทำให้ Brand ของเราถูกพูดถึงในเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง

คุณ Gary IIIyes จาก Google ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า การที่เว็บไซต์ใดก็ตามได้รับลิงก์ และชื่อ Brand เป็นที่ถูกพูดถึง จะส่งผลต่อ E-A-T ของเว็บไซต์

จากตัวอย่างของทาง Backlinko Brand ของพวกเขาถูกพูดถึงในเว็บไซต์ The Globe and Mail

ซึ่งกว่าที่ Brand ของพวกเขาจะถูกพูดถึงนั้น พวกเขาจะต้องทำการติดต่อกับทางนักข่าวหลายครั้ง และยังต้องให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กว่า 45 นาที 

จนสุดท้าย Brand ของเขาก็ได้รับการพูดถึง แต่ไม่มีลิงก์อยู่ด้วย

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลิงก์ แต่เว็บไซต์ The Globe and Mail ถือเป็นเว็บไซต์ที่โด่งดังมากในแคนาดา ดังนั้นเพียงแค่ถูกพูดถึงก็ทำให้ Off-Page SEO ของ Backlinko ได้ประโยชน์แล้ว

การได้ลิงก์จากเว็บไซต์ขนาดเล็กที่น่าเชื่อถือ

เนื่องจากทาง Google ยังใช้ PageRank สำหรับการวัด E-A-T

แต่ Google ไม่ได้ดูแค่คะแนนความเชื่อถือของเว็บไซต์อย่างเดียวเท่านั้น

จากการจดลิขสิทธ์ของ Google ในปี 2018 ได้มีการอธิบายไว้ว่า ทาง Google ได้ให้คะแนนลิงก์จากเว็บไซต์ขนาดเล็กรวมกันมากกว่า

หรือที่เรียกกันว่า Trustrank 2.0

การที่เราได้ลิงก์จากเว็บไซต์ของ NY Times ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่น่าเชื่อถือจะสามารถช่วย E-A-T ของเว็บไซต์เราได้อย่างแน่นอน แต่การได้ลิงก์จากเว็บไซต์ขนาดเล็กที่มีลิงก์มาจาก NY Times มาอีกทีนั้น ก็สามารถช่วยเรื่อง E-A-T ได้เช่นกัน

การได้รับรีวิวที่ดีบนโลกออนไลน์

นอกเหนือจากที่กล่าวมานั้น Google ยังมีการวัดคะแนนคุณภาพของเว็บไซต์และ Brand ผ่านการรีวิวอีกด้วย

ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าหากคนไม่ชอบ Brand ของคุณ ทำไม Google จะต้องเอาเว็บไซต์ที่คนไม่ชอบมาขึ้นหน้าแรกให้คนส่วนใหญ่เห็น

ถ้าหากคุณกำลังทำธุรกิจที่เน้นเฉพาะพื้นที่ การได้รับรีวิวดีใน Google นั้นถือว่ามีผลต่อ Local SEO มากๆ โดย Google เองก็ได้นำรีวิวมาเป็นหนึ่งในการให้คะแนน E-A-T เช่นกัน แต่ถ้าหากคุณไม่ได้ทำธุรกิจที่สามารถให้ผู้คนทำการรีวิวได้ Google จะดูจากรางวัลต่างๆที่ได้รับมาเพื่อเป็นการให้คะแนน E-A-T แทน

และความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจประเภทเดียวกัน ก็มีผลเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น Ahref ได้ใส่ให้ Backlinko เป็นอันดับหนึ่งในเรื่องบทความ SEO

ซึ่งนอกจากจะได้ลิงก์จาก Ahrefs แล้ว Google ยังสามารถใช้สิ่งนี้ในการพิจารณาให้คะแนน E-A-T ของเว็บไซต์ได้อีกด้วย

Chapter 5: เทคนิคการทำ Off-Page SEO

ในบทนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งที่ควรทำเพื่อที่จะทำให้ Off-Page SEO ของคุณดีขึ้นแบบเห็นผล อีกทั้งยังทำให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีขึ้นใน Google

การทำ PR ให้กับเว็บไซต์

การทำ PR ให้กับเว็บไซต์นั้นจะทำให้คุณได้ทั้งลิงก์และการถูกพูดถึง Brand ตัวอย่างเช่น ทาง Backlinko ได้ทำ PR ให้กับเว็บไซต์เมื่อหลายปีก่อน 

ซึ่งการทำตรงนี้จะได้ทั้งลิงก์และการถูกพูดถึงของ Brand  แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ มีเว็บไซต์อื่นค้นพบและได้ลองทำตาม Backlinko พร้อมกับการให้ลิงก์กับทาง Backlinko เพิ่มด้วยเพื่อเป็นการให้ Credit

การเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นใน Post ต่างๆ

การเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นหรือคอมเม้นใน Post ต่างๆ เป็นอีกหนึ่งในวิธีที่จะทำให้เราได้ทั้งลิงก์และการถูกพูดถึง ตัวอย่างเช่น ทาง Backlinko ได้ทำการ Post ใน เว็บ Elementor สำหรับการทำ SEO พร้อมกับการให้ความรู้

จากการเข้าร่วมนี้ ทำให้เว็บ Backlinko ได้ลิงก์แบบ Dofollow และมีการพูดถึง Brand มากขึ้น

การให้สัมภาษณ์

การสัมภาษณ์ไม่ว่าจะผ่าน Podcast หรือโดยเว็บไซต์อื่นนั้น เป็นการช่วย Off-Page SEO ในทางอ้อม ตัวอย่างเช่น ทาง Backlinko ได้ถูกสัมภาษณ์จากเว็บไซต์ Start-Up ที่กำลังโด่งดัง

จากการสัมภาษณ์ทำให้พวกเขาได้ลิงก์กลับมา แต่สิ่งที่ดีกว่านั้นคือการที่ Backlinko ได้ถูกพูดถึงจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง อีกตัวอย่างนึงที่น่าสนใจ Backlinko ได้ถูกสัมภาษณ์โดย Pat Flynn ทาง Podcast โดยปกติคนที่กำลังฟัง Podcast อยู่ก็จะมีการค้นหาผู้พูดและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้มีส่วนช่วยในเรื่อง Brand search อย่างมาก ซึ่งจากรูปด้านล่าง จะเห็นได้ว่า “Backlinko” และ “Brian Dean” ถูกค้นหามากขึ้นใน Google

นอกจากนี้ จะทำให้เกิด Organic Traffic ในเว็บไซต์เพิ่มขึ้นด้วย

การเข้าไปเป็น Partner กับ Brand ที่ใหญ่กว่า

หลายคนอาจจะคิดว่า Brand ใหญ่ๆนั้นจะไม่สนใจร่วมกับธุรกิจเล็กๆ หรือ SME แต่คุณอาจจะคิดผิด ถ้าหากคุณสามารถให้สิ่งที่มีคุณค่ากับ Brand ดังๆได้หล่ะก็ ทาง Brand ใหญ่จะสามารถส่ง Traffic เข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณได้ ตัวอย่างเช่น ในช่วงแรกๆของ Backlinko คุณ Brian Dean ได้ส่งอีเมลเข้าไปหาทาง Hubspot พร้อมกับการช่วยสร้าง Infographic ให้

ซึ่งสิ่งที่ทาง Hubspot ทำคือการโพสรูป Infographic ที่คุณ Brian Dean ทำให้ลงในเว็บไซต์

นอกจากทาง Hubspot จะโพสรูปลงในเว็บไซต์ของพวกเขาแล้ว พวกเขายังนำ Logo ของ Backlinko ใส่เพิ่มเข้าไปในรูปเพื่อเป็นการให้ Credit อีกด้วย

ซึ่งการได้ Hubspot ช่วยผลักดันให้นั้น ถือเป็นตัวช่วยในการเพิ่ม Credit ที่ดีมากเลยทีเดียวสำหรับการเริ่มต้นของเว็บไซต์ Backlinko ในช่วงแรก

การสร้างรูปและเนื้อหาที่ Blog คนอื่นสามารถนำไปใช้ต่อได้

การสร้างรูป หรือ Infographic ที่เว็บไซต์อื่นสามารถนำไปใช้ต่อได้นั้น เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะได้ลิงก์จากเว็บไซต์อื่น โดยไม่ต้องพึ่งการทำ Blogger Outreach หรือการหาคนเข้าเว็บไซต์ผ่านบทความ

อย่างเช่น ในบทความการใช้ LSI Keyword ของทาง Backlinko ได้มีการลงรูปหนึ่งในเว็บไซต์

ซึ่งอาจจะไม่ใช่รูปที่หวือหวามาก แต่มันช่วยให้คนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับการทำงานของ Google เข้าใจมากขึ้น ทำให้คนนำรูปนี้ไปใช้ต่อพร้อมกับการให้ Credit กลับมา ไม่ว่าจะมีลิงก์หรือไม่มีลิงก์ก็ตาม คุณก็ยังสามารถได้ประโยชน์ในมุมของ Off-Page SEO อยู่ดี

Chapter 6: กรณีศึกษา การทดลองต่างๆ เกี่ยวกับ Off-Page SEO

ในบทนี้จะพูดถึงกรณีศึกษาและการทดลองต่างๆที่ทำให้คุณ Daniel ที่มี DA 0 สามารถมี DA 48 ภายใน 90 วัน นอกจากนี้ยังมีวิธีการสร้างลิงก์จากคุณ Josh และ คุณ Ash ที่สร้างลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ตัวเองด้วยวิธีที่แปลกใหม่และได้ผลลัพธ์ที่ดี

เคสที่ 1

คุณ Josh Howarth และ คุณ Brain Dean ร่วมกันสร้างเว็บใหม่ที่ชื่อ ExplodingTopics.com

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี Exploding Topic เป็นเว็บไซต์ใหม่ และทั้งสองคนพยายามหาวิธีในการสร้างลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ของพวกเขา แต่อยู่มาวันหนึ่งพวกเขากลับเจอสิ่งนี้

นั่นก็คือ เครื่องมือที่ชื่อ Google Correlate ได้ถูกปิดตัวลง

ซึ่งในวันถัดมา พวกเขาได้ทำการส่ง Email ที่เน้นถึงการสร้างลิงก์จากลิงก์เสีย และพยายามให้ผู้คนหันมาใช้ Exploding Topics

Email ของพวกเขาได้รับผลตอบรับที่ดี และได้รับการเปลี่ยนลิงก์จาก Google Correlate มาเป็น Exploding Topics

ถึงแม้ว่า Explording Topics จะไม่ใช่เครื่องมือที่สามารถทดแทน Google Correlate ได้ทั้งหมด แต่ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ใกล้เคียง ซึ่งทำให้พวกเขาได้ลิงก์ที่ดีเลยทีเดียว

เคสที่ 2

คุณ Daniel ได้ทำเว็บไซต์ชื่อ Amp My Content ขึ้นมา ซึ่งเป็น Agency สาย Content

คุณ Daniel ได้พยายามสร้างลิงก์โดยการโพสตามเว็บไซต์ต่างๆ แต่สิ่งที่เขาตระหนักได้คือวิธีที่ง่ายกว่าและเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า ที่สำคัญคือสามารถสร้างลิงก์ได้ดี นั่นก็คือ การทำ Podcast ซึ่งคุณ Daniel ไม่ใช่คนที่โด่งดังมากในโลกของ Marketing เพราะเขาเพิ่งจะเริ่มทำ แล้วคุณ Daniel สามารถสร้าง 60 Podcast ใน 90 วัน ได้อย่างไร และทำอย่างไรให้ DA ของเว็บไซต์เขากลายเป็น 48

เขาทำได้โดยใช้วิธีการส่ง Email หากลุ่มเป้าหมายของเขาในการเข้าร่วม Podcast

ซึ่งการที่เขาใช้การทำ Personalization ในทุก Email ที่เขาส่งนั้น ทำให้เขาได้รับการตอบรับที่ดีมาก

ซึ่งทำให้คุณ Daniel ได้รับ Backlink กลับมามากมาย

เคสที่ 3

คุณ Ash Turner ได้ทำเว็บไซต์สำหรับรับซื้อขายมือถือออนไลน์ชื่อ BankMyCell

เขาไม่ได้มีงบประมาณในการทำการตลาดมากนัก แต่เขาเคยมีประสบการณ์ในการทำ Survey มาก่อน ซึ่งเขาพยายามหา Survey ที่มีอยู่ในโลกออนไลน์เกี่ยวกับมือถือ

และได้ใช้ Ahrefs ในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ดังกล่าว ว่านักข่าวได้ทำการพูดถึงข้อมูลด้านไหนสำหรับมือถือบ้าง 

หลังจากนั้น เขาได้ใช้ เทคนิค Skyscraper จาก Survey อันเก่า และได้ทำการสร้างอันใหม่ที่ดีกว่าขึ้นมา

หลังจากนั้นเขาได้ติดต่อกับนักข่าวเพื่อบอกเกี่ยวกับการ Survey ที่ดีกว่าเดิม ซึ่งเป็นอันที่เขาทำ และได้ทำการโปรโมทเนื้อหาที่ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมือถือ ทำให้นักข่าวนำข้อมูลนี้ไปใช้ต่อได้

สรุป

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับคนที่กำลังศึกษาและหาวิธีการทำ Off-Page SEO ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกับเว็บไซต์ของคุณ แล้วพบกันใหม่บทความหน้าค่ะ

สวัสดี เราชื่อ พีค มีความสนใจเรื่อง SEO มาตั้งแต่ตอนอายุ 20 สมัยเข้ามหาลัยใหม่ๆ เนื่องจากเราเรียนบริหารธุรกิจ จึงได้เรียนเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ และมองว่า SEO คือหนึ่งในศาสตร์และศิลป์ที่มีความอ่อนไหว น่าสนใจ และดูมีอะไรในตัวของมันเองดี คนที่ทำต้องรอคอยเป็น เหมือนฝึกให้เรารู้จักที่จะรอคอยได้ ก็เลยศึกษา ทดลอง มาโดยตลอด มันสนุกมากนะ ได้เห็นกราฟวิ่งขึ้นวิ่งลง เติบโตไปเรื่อยๆ เปรียบเสมือนกับชีวิตที่มีสีสัน มีจังหวะที่คอยสลับไปมานั่นเอง