อยากให้หน้าเว็บติดอันดับต้องเริ่มจากสร้างบทความให้โดนใจทั้งผู้อ่าน และโปรแกรมค้นหา หรือ Search Engine กันก่อน มาเริ่มศึกษาได้เลย แล้วจะรู้ว่าทำไมการทำบทความ SEO ถึงสำคัญ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
ส่วนที่ 1 : พื้นฐานของบทความ SEO
บทความ SEO คืออะไร
เนื้อหาที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เกิดการจัดอันดับบนเครื่องมือค้นหา หรือ Search Engine ซึ่งสามารถทำออกมาในรูปแบบ Blog Post, Landing Page หรือแบบอื่นก็ได้
ทำไมการทำ SEO Content ถึงมีความสำคัญ
เพราะไม่ใช่ทุกอันที่ทำออกมาแล้วจะถูกจัดอันดับ หรือมียอดการเข้าชมที่ดี โดยต้องเป็นเนื้อหาที่จัดทำออกมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ และถูกหลักการประเมินของ Google เท่านั้นถึงจะสามารถไปต่อได้
ส่วนที่ 2 : วิธีเขียนบทความ SEO
การทำบทความ SEO เปรียบเสมือนการเขียนสิ่งที่ผู้คนต้องการรู้ให้ออกมาเป็นเนื้อหาที่กระชับ และเข้าใจง่าย ยิ่งสามารถให้ข้อมูลเชิงลึก หรือบอกความเชี่ยวชาญในหัวข้อที่ทำได้ ก็ยิ่งส่งผลดีต่อบทความของเรามากขึ้น ซึ่งมีขั้นตอนการทำดังนี้
เลือกหัวข้อ
ควรค้นคว้า หรือวิจัยคีย์เวิร์ดผ่านการวิเคราะห์อัตราการเข้าชม คุณค่าทางธุรกิจ รวมถึงอันดับของคำก่อนทุกครั้ง ซึ่งด้านล่างนี้คือตัวอย่างข้อมูลของคำหลักสำหรับร้านขายอุปกรณ์ทำขนมที่ผ่านการตรวจสอบมาแล้ว
หากต้องการสำรวจคีย์เวิร์ดบ้างต้องทำอย่างไร มีขั้นตอนดังนี้
- พิมพ์ Seed Keyword หรือคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้า และเป้าหมายอย่างกว้าง ๆ ลงไปในเครื่องมือ Keyword Explorer ของ Ahrefs
- ดูรายงานข้อมูลด้านล่าง Matching Terms
- ฟิลเตอร์หาเฉพาะคีย์เวิร์ดที่มีค่า TP หรือยอดเข้าชมเว็บไซต์สูง และค่า KD ที่ต่ำ ซึ่งจะง่ายต่อการติดอันดับมากกว่า
รู้หรือไม่ ?
ค่า Keyword Difficulty หรือ KD บน Ahrefs ขึ้นอยู่กับจำนวน Backlink ไปยังหน้าเว็บไซต์ที่ติดอันดับ ซึ่งเป็นวิธีที่มีประโยชน์สำหรับการคัดเลือกคีย์เวิร์ด ดังนั้นก่อนเลือกหัวข้อ ก็ควรมาตรวจสอบค่านี้ก่อนทุกครั้ง
หลังจากนั้นให้ลองตรวจสอบหน้าเว็บที่ติดอันดับ และภาพรวมตัวเลขต่าง ๆ ของเว็บนั้นใน SERPs ซึ่งจะเห็นว่ามีหน้าเว็บอยู่หลายอันที่ยังมี Backlink น้อย หรือไม่มีเลย อีกทั้งยังมาจากแบรนด์ที่ไม่รู้จักด้วย ซึ่งดูมีแนวโน้มสำหรับนำมาทำเป็นคีย์เวิร์ดมากที่สุด เพราะมีการแข่งขันที่น้อย
วิเคราะห์จุดประสงค์การค้นหา
หากเข้าใจจุดประสงค์ของการค้นหา ก็จะรู้ว่าผู้ใช้งานกำลังมองหาอะไร ซึ่งจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์เนื่องจากโอกาสในการติดอันอาจน้อยลง หากทำคอนเทนต์ออกมาได้ไม่ตรงกับความต้องการ
โดยปกติแล้วคีย์เวิร์ดมักแสดงออกถึงความหมาย และจุดประสงค์ในตัวเองอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น เมื่อค้นหา “เทคนิคการเขียน SEO” ก็ค่อนข้างจะชัดเจนมากว่าอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคการเขียน SEO แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคีย์เวิร์ดบางประเภทที่คลุมเครืออยู่ ซึ่งวิธีง่าย ๆ คือให้ใช้ตามเว็บไซต์ที่ติดอันดับในเรื่องนั้น ๆ แล้วนั่นเอง
โดยสามารถวิเคราะห์หน้าเว็บที่ติดอันดับตามหลัก 3C ได้แก่
- ประเภทคอนเทนต์ (Content type) ดูว่าคอนเทนต์ออกมาในรูปแบบไหน เช่น Blog Post, หน้าผลิตภัณฑ์, Landing Page หรืออื่น ๆ
- รูปแบบคอนเทนต์ (Content format) อาจทำออกมาเป็น Tutorial ให้ความรู้เรื่องต่าง ๆ หรือทำออกมาเป็นคู่มือ, สูตรอาหาร และอื่น ๆ
- มุมมองคอนเทนต์ (Content angle) ดูว่าทำเนื้อหาโดยเน้นไปที่มุมมองไหน เช่น เน้นจุดขาย, ราคาถูก หรือความยากง่ายของการใช้งาน
ยกตัวอย่าง เว็บไซต์ที่ติดอันดับของคำค้นหา “แป้งพิซซ่าอิตาลี” ตัวคอนเทนต์ถูกจัดทำออกมาในรูปแบบสูตรอาหารหมดเลย ดังนั้นความถูกต้องของสูตร คือมุมมองคอนเทนต์ที่แต่ละเว็บให้ความสำคัญดังภาพ
ดูความเชี่ยวชาญ
Google มีตัวชี้วัดสำหรับแยกแยะคอนเทนต์ด้านความเชี่ยวชาญอยู่ โดยเฉพาะหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การเงิน ความปลอดภัย และการใช้ชีวิต ที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง และความน่าเชื่อถือ เพราะหากนำเสนอข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อชีวิต และความมั่นคงของผู้อ่านได้ ซึ่ง Google จะตั้งชื่อคอนเทนต์เหล่านี้ว่า Your Money or Your Life (YMYL) โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
Non-YMYL topics ผู้เขียนอาจเชี่ยวชาญในเรื่องธรรมดาทั่วไป หรือมีประสบการณ์ชีวิตโดยตรงที่เพียงพอสำหรับหัวข้อที่นำมาเล่าได้
YMYL topics เนื้อหาอาจต้องมาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่ก็มีบางกรณีที่คนทั่วไปสามารถพูดถึงหัวข้อนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นมะเร็ง อาจให้คำตอบในหัวข้อ “การเป็นมะเร็งรู้สึกอย่างไร” ได้ดีกว่าแพทย์ เป็นต้น
ซึ่งสามารถใช้แผนผังด้านล่างเพื่อการตัดสินใจ และกำหนดทิศทางของหัวข้อได้ดังนี้
ครอบคลุมหัวข้อให้ครบถ้วน
หลังจากได้เรื่องที่จะเขียนแล้ว จากนี้คือช่วงเวลาสำหรับจัดทำเนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการเห็น ซึ่งขั้นตอนวิเคราะห์จุดประสงค์ บอกเลยว่าช่วยขยายกรอบไอเดียได้เยอะมาก แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องยากอยู่ดีที่จะเขียนให้ครอบคลุมทุกหัวข้อที่คิดว่าผู้ใช้ต้องการรู้ โดยมีอยู่ 2 วิธีในการค้นหาหัวข้อย่อย และประเด็นสำคัญต่าง ๆ ออกมาให้ครบถ้วน ดังนี้
- มองหาจุดที่เหมือนกันของหน้าเว็บติดอันดับ ช่วยให้เราได้ไอเดียหัวข้อย่อยที่ดี
- มองหาคีย์เวิร์ดที่ถูกใช้บ่อยในหน้าเว็บลำดับต้น ๆ ช่วยให้มองประเด็นสำคัญต่าง ๆ ยิ่งหากหลายเว็บมีการเขียนถึงเยอะ ก็แสดงว่าเป็นเนื้อหาสำคัญที่ควรนำมาเขียนด้วยเช่นกัน
โดยสามารถใช้ Ahrefs เข้ามาช่วยเหลือได้ตามขั้นตอนด้านล่างนี้
- ใส่คีย์เวิร์ดลงไปในเครื่องมือ Keyword Explorer บน Ahrefs
- เลือกหน้าเว็บติดอันดับที่เกี่ยวข้องมาประมาณ 2 – 3 หน้า
- คลิกที่คำว่า “Open in” แล้วเลือก “Content Gap”
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากคีย์เวิร์ดหลักของเราคือ “Content audit” หรือการตรวจสอบเนื้อหา เมื่อรวมหน้าเว็บติดอันดับสองถึงสามอันลงใน Content Gap แล้ว จะเห็นว่ามีคีย์เวิร์ดมากมายที่บ่งบอกเกี่ยวกับหัวข้อย่อย
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้ไม่ได้ต้องการค้นหาเพียงวิธีตรวจสอบเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังสนใจเรื่อง Content audit คืออะไร, ทำไมถึงต้องทำ, เทมเพลตต่าง ๆ รวมถึงเครื่องมือที่จำเป็นต่อการใช้งาน อีกด้วย
สร้างคอนเทนต์ที่เป็นเอกลักษณ์
หากตั้งเป้าหมายอยากให้หน้าเว็บติดอันดับหน้าแรก สุดท้ายแล้วก็จะจบลงที่เนื้อหาซ้ำ ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ และจมหายไปกับเว็บอื่น ๆ
ซึ่งจัดว่าเป็นปัญหาสำหรับการทำบทความ SEO อย่างมาก และมีวิธีแก้ไขดังนี้
- หาข้อมูลจากการวิจัยจริง เช่น โพลล์ แบบสำรวจ หรือผลการศึกษาต่าง ๆ เป็นต้น
- ให้มุมมอง หรือความเห็นที่มีเอกลักษณ์ โดยอาจมาจากความคิดเห็นของผู้เขียนเอง จากคนรู้จัก หรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาโดยตรงก็ได้
- อธิบายต่อจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว แล้วทำการตีแผ่แนวคิดนั้นแบบเจาะลึก พร้อมนำเสนอข้อมูล หรือทางเลือกอื่น ๆ
หากใช้งานฟังก์ชัน Best by links บน Site Explorer ของ Ahrefs เพื่อดูบล็อกโพสต์ที่มีจำนวน Backlink มากที่สุด จะเห็นเลยว่าหน้าเว็บส่วนใหญ่ที่ได้ Backlink เป็นผลการศึกษาทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้อมูลจากการวิจัยมีประสิทธิภาพมากเพียงใด
อีกหนึ่งเทคนิค คือการดูว่าทำไมผู้คนถึงทำ Backlink ไปหาหน้าเว็บที่ติดอันดับ ยกตัวอย่างเช่น มีการพบลิงก์ไปยังเว็บคู่แข่งในหัวข้อเกี่ยวกับการเขียนคำโฆษณาด้วยสูตรที่คิดขึ้นเอง หลังจากนั้นจึงได้ลองสร้างขึ้นมาบ้าง โดยตั้งชื่อว่า สูตร ASMR ซึ่งจะเห็นว่าเริ่มได้รับลิงก์กลับมาบ้างแล้วเช่นกัน
รู้หรือไม่ ?
Google ตระหนักถึงปัญหาคอนเทนต์ลอกเลียนแบบอยู่เสมอ และมีการยื่นจดสิทธิบัตรแล้วในปี 2020 ที่ผ่านมา พร้อมกำหนดแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ คือ ประเมินค่าตามบริบทการรับข้อมูลจากลิงก์ เป็นวิธีดูหน้าเว็บที่ถูกลิงก์เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลถึงจะได้รับคะแนน ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าข้อมูลจากหน้าเว็บเดียว สามารถนำเสนอให้กับผู้อ่านที่เคยเห็นข้อมูลจากแหล่งอื่นในหัวข้อเดียวกันได้มากน้อยเพียงใด
ทำให้กระชับ
ผู้คนมักเลิกสนใจกับสิ่งที่อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจยาก หรือทำให้สับสน ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีเพราะ Google ใช้ข้อมูลการตอบสนองเพื่อประเมินหน้าเว็บไซต์ ดังนั้นหากผู้อ่านเข้ามา แล้วออก หรือเลิกดูคอนเทนต์ของเราไป ก็จะไม่สามารถช่วยเรื่อง SEO ได้เลย
หากต้องการทำเนื้อหาออกมาให้น่าสนใจ สามารถปรับใช้เทคนิคด้านล่างได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้คำ หรือประโยคที่เข้าใจยาก
- จัดวางให้อ่านง่าย สบายตา โดยใช้ภาพ หรือวิดีโอ คั่นกลางระหว่างตัวหนังสือ
- ใช้สำนวนภาษาที่เข้าถึงง่าย และโดนใจผู้อ่าน
- ตรวจสอบการสะกดคำ เพื่อดูว่าเขียนได้ถูกต้อง หรืออ่านแล้วไม่มีจุดไหนสะดุด
ซึ่งหน้าเว็บอย่าง Hemmingway และ Grammarly ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้การสะกดคำ และการตรวจสอบความถูกต้องของประโยคเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้ แต่หากสงสัยว่าผู้คนส่วนใหญ่ใช้คำพูด หรือคำศัพท์ประมาณไหนกัน สามารถลองทำตามนี้ได้เลย
- ใส่คีย์เวิร์ดลงไปบนเครื่องมือ Keyword Explorer ของ Ahrefs
- ดูที่รายงานผลของ Related Term
- คลิกไปที่ช่อง “Also talk about”
อัปเดตเนื้อหาให้ทันกระแสตลอดเวลา
เพราะทุกคอนเทนต์เมื่อเขียนทิ้งไว้สักพัก ย่อมเริ่มล้าหลัง ซึ่งมีผลกระทบมากหากเราเลือกเขียนในหัวข้อที่ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้ต้องอัปเดตอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ผู้อ่าน และ Google เกิดความสนใจ
ยกตัวอย่างกราฟแสดงจำนวนการเยี่ยมชมเว็บไซต์ของหัวข้อ ‘รายการค้นหายอดนิยมบน Google’ โดยจะเห็นว่ามีทั้งช่วงขาขึ้น และลง
ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากเรื่องนี้เป็นหัวข้อที่ต้องการความสดใหม่อยู่ตลอดเวลา โดยผู้ค้นหาคงไม่ต้องการดูรายการค้นหายอดนิยมบน Google ของปีที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้นยอดการเยี่ยมชมที่ลดลงจึงเกิดจากเนื้อหาเก่า และมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลังได้ทำการอัพเดตเนื้อหาใหม่ลงไปแล้วนั่นเอง
นอกจากนี้หากใช้งาน WordPress ยังสามารถจับตาดูอันดับที่เพิ่ม หรือลดลงได้ จากการใช้ปลั๊กอินฟรี เพียงแค่กำหนดคีย์เวิร์ดเป้าหมายของแต่ละหน้าลงไป จากนั้นจะสามารถบอกได้เลยว่าเนื้อหานั้นมียอดเข้าชมดีขึ้น หรือลดลง ทำให้รู้ว่าควรอัปเดตเนื้อหาในหน้าเว็บไหนบ้างนั่นเอง
สรุปใจความสำคัญ
- บทความ SEO คือเนื้อหาที่จัดทำออกมาเพื่อให้ได้รับการจัดอันดับใน Search Engine หรือเครื่องมือค้นหาของ Google
- เป็นการทำเนื้อหาออกมาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อ่าน ครอบคลุม กระชับ และเข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- หากไม่ทำตามหลักการ SEO คอนเทนต์ที่ทำออกมาก็จะไม่ได้รับการจัดอันดับ
ใครที่อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถตามอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ : https://thekalling.com/tkl-blog/