What is 301 Redirects

มาทำความรู้จักกับ 301 Redirects คืออะไร และส่งผลอย่างไรต่อ SEO

หากคุณต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนเส้นทางของเว็บไซต์ หรือ “301 Redirects” รวมถึงวิธีการใช้เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าชมแบบออร์แกนิกต้องอ่านบทความนี้เท่านั้น คลี่คลายทุกปัญหาและข้อสงสัย ดังนั้นหากพร้อมกันแล้วมาเรียนรู้ไปด้วยกันเลย

สารบัญเนื้อหา

เรามาเริ่มที่เรื่องแรกกันเลย 

ทำความรู้จักกับ 301 Redirects คืออะไร

การเปลี่ยนเส้นทาง หรือ 301 Redirects คือ การเปลี่ยนเส้นทางของ URL หนึ่งไปยังอีก URLหนึ่ง ซึ่งใช้บ่งชี้ให้ Google ทราบว่ามีการย้านหน้าเว็บจากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่งแบบถาวร ซึ่งจะไม่มีการย้ายกลับมาอีกแล้ว โดย 301 คือ รหัสสถานะที่มีอยู่ใน HTTP ของหน้าเว็บที่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางนั่นเอง 

ตัวอย่างเช่น

blog.ahrefs.com เปลี่ยนเส้นทางไปที่ ahrefs.com/blog 

วิธีการใช้ 301 Redirects ต้องทำอย่างไรบ้าง

สำหรับใครที่กำลังวางแผนเปลี่ยนเส้นทางของหน้าเว็บไซต์ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี วิธีการที่ง่ายที่สุดคือให้เข้าไปแก้ไขในส่วนของไฟล์ .htaccess ของเว็บไซต์ ตามตัวอย่างรูปภาพด้านล่างนี้

Site’s root folder

แต่ถ้าไม่มีไฟลนี้ในเว็บไซต์ อาจจะเกิดจากสาเหตุหลัก 2 ประการ ดังนี้

  1. คุณไม่มีไฟล์ .htaccess

แต่ไม่ต้องตกใจแนะนำให้สร้างโดยใช้ Notepad (Windows) หรือ TextEdit (Mac) เพียงสร้างเอกสารใหม่และบันทึกเป็นไฟล์ .htaccess ซึ่งต้องลบนามสกุลไฟล์ .txt ออกไป 

  1. เว็บไซต์ของคุณไม่ได้ทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ Apache 

ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคบางประการ แต่อย่างไรก็ตามการมีหรือไม่มีไฟล์นี้ขึ้นอยู่กับประเภทของเว็บเซิร์ฟเวอร์ โดยทั่วไปที่ใช้กันบ่อย ๆ จะมีเว็บเซิร์ฟเวอร์ประเภท Apache, Windows/IIS และ Nginx แต่มีเพียงแค่ Apache เท่านั้นที่จะมีไฟล์ .htaccess ซึ่งหากไม่ทราบว่าเว็บไซต์ของคุณกำลังใบช้งานในเซิร์ฟเวอร์ใดอยู่ แนะนำให้สอบถามเว็บโฮสต์ของคุณ

ต่อมาเรามาดูตัวอย่างโค้ดที่ใช้สำหรับการเพิ่ม 301 Redirects ผ่านไฟล์ .htaccess ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เหมาะสำหรับการใช้กับเซิร์ฟเวอร์ Apache เท่านั้น 

การเปลี่ยนเส้นทางจากหน้าเก่าไปยังหน้าใหม่

1Redirect 301 /old-page.html /new-page.html 
301 Redirects

แต่หากคุณใช้ WordPress อยู่ บอกเลยว่าไม่จำเป็นต้องแก้ไขไฟล์ .htaccess อีกต่อไป เพียงแค่ใช้ปลั๊กอินฟรี Redirection เท่านั้น ช่วยให้การเพิ่ม 301 Redirect ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก

Redirections Plugin

ซึ่งรูปภาพด้านบนนี้ เป็นวิธีการใช้งานปลั๊กอินฟรีสำหรับการกำหนดการเปลี่ยนเส้นทางของ WordPress

การเปลี่ยนเส้นทางโดเมนเก่าไปยังโดเมนใหม่

1RewriteEngine on
2RewriteCond %{HTTP_HOST} ^oldsite.com [NC,OR]
3RewriteCond %{HTTP_HOST} ^www.oldsite.com [NC]
4RewriteRule ^(.*)$ https://newsite.com/$1 [L,R=301,NC]

นี่คือโค้ดที่สามารถใช้สำหรับการเปลี่ยนเส้นทางได้ สำหรับเซิร์ฟเวอร์ Apache โดยสามารถแก่ไขได้ในไฟล์ .htaccess

Domain Redirection URL

แต่สิ่งสำคัญหากคุุณมี  RewriteEngine on อยู่แล้วในไฟล์ .htaccess อย่าใส่โค้ดซ้ำลงไปเด็ดขาด ให้คัดลอกแค่โค้ดที่เหลือที่ยังไม่มีในไฟล์ลงไปเท่านั้น 

เปลี่ยนเส้นทางทั้งโดเมนจาก non-www ไปยัง www (ซึ่งสามารถทำกลับกันได้)

การเปลี่ยนเวอร์ชั่นจาก non-www ไปเป็น www

1RewriteEngine on
2RewriteCond %{HTTP_HOST} ^example.com [NC]
3RewriteRule ^(.*)$ http://www.example.com/$1 [L,R=301,NC]
non-www to www redirect

การเปลี่ยนเวอร์ชันจาก www ไปเป็น non-www

1RewriteEngine on
2RewriteCond %{HTTP_HOST} ^www.example.com [NC]
3RewriteRule ^(.*)$ http://example.com/$1 [L,R=301,NC]
www to non-www redirect

ตำแหน่งและลำดับของโค้ดในไฟล์นี้มีความมาก หากมีการวางคำสั่งผิดลำดับอาจจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อเว็บไซต์ตามมา ดังนั้นก่อนทำการเปลี่ยนเส้นทางในไฟล์ .htaccess ต้องจัดลำดับโค้ดให้ดี

การเปลี่ยนเส้นทางทั้งโดเมนจาก HTTP เป็น HTTPS

1RewriteEngine On
2RewriteCond %{HTTPS} off
3RewriteRule ^(.*)$ https://%{HTTP_HOST}%{REQUEST_URI} [L,R=301]
https-redirect URL

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรพลาด คือคุณจำเป็นต้องมีใบรับรอง SSL ติดตั้งบนเว็บไซต์ จึงจะสามารถใช้งานในส่วนนี้ได้ ไม่เช่นนั้นคุณจะได้รับข้อความเตือนว่าไม่ปลอดภัย “Not secure”

การเปลี่ยนเส้นทางทั้งโดเมนจาก non-www เป็น www และจาก HTTP เป็น HTTPS 

1RewriteEngine On
2RewriteCond %{HTTP_HOST} !^www\. [NC]
3RewriteRule ^ https://www.%{HTTP_HOST}%{REQUEST_URI} [L,R=301]
4RewriteCond %{HTTP:X-Forwarded-Proto} !https
5RewriteCond %{HTTPS} off
6RewriteRule ^ https://%{HTTP_HOST}%{REQUEST_URI} [L,R=301]
non-www-http-https-redirect

การมี 301 Redirects ในเว็บไซต์ ส่งผลต่อ SEO หรือไม่

จากการศึกษาข้อมูลพบว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน SEO ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่าง 301 Redirects กับ PageRank ซึ่งเป็นปัจจัยที่ Google ใช้ในการประเมินมูลค่าของหน้าเว็บไซต์ ซึ่งจะดูตามปริมาณและคุณภาพของลิงก์ โดย PageRank นับว่าเป็นสัญญาณที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์

นอกจากนี้ยังเห็นความสัมพันธ์เชิงบวกที่ชัดเจนระหว่างคะแนนของ URL (Ahrefs’ URL Rating) ที่มีรูปแบบการทำงานเหมือนกับ PageRank ซึ่งเมื่อมีคะแนนที่สูงขึ้น ปริมาณการเข้าชมแบบออร์แกนิคของเว็บไซต์ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

URL Rating (UR) VS Search Traffic

สำหรับการเปลี่ยนเส้นทางหน้าเว็บไซต์อาจส่งผลให้ PageRank ลดลงไปบ้าง อยู่ที่ประมาณราว ๆ 15% 

แต่อย่างไรก็ตามในวิดีโอนี้ไม่ได้ยืนยันว่าเมื่อเปลี่ยนเส้นทางแล้วจะสูญเสีย PageRank ไปที่ 15% เป็นเพียงแค่การประมาณและยกตัวอย่างเท่านั้น ดังนั้นเรามาดูตัวอย่างเพิ่มเติมในการคำนวนกันเถอะ

การเปลี่ยนเส้นทาง 301 แบบง่าย: 

domain.com/page-1 → domain.com/page-2 = สูญเสีย PageRank ไปประมาณ 15%

การเปลี่ยนเส้นทาง 301 แบบห่วงโซ่:

domain.com/page-1 → domain.com/page-2 → domain.com/page-3 → domain.com/page-4 = สูญเสีย PageRank ไปประมาณ 38%

แต่อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี 2016 ได้ลดบทบาทของ PageRank ลง

ซึ่งการเปลี่ยนเส้นทางของหน้าจาก domain.com/page1 ไปยัง domain.com/page2 หน้าใหม่นี้ควรมี “พลัง” มากกว่าหน้าเดิม โดยจะต้องสามารถเพิ่มอัตราการเข้าชมได้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือการเปลี่ยนเส้นทางอาจเกิดปัญหาบ้างกับการทำ SEO ของเว็บไซต์

วิธีแก้ไขปัญหา 301 Redirects ที่มีอยู่ในเว็บไซต์

ดังนั้นเมื่อเราทราบกันแล้วว่าอาจจะเกิดปัญหาตามมาได้เมื่อเปลี่ยนเส้นทาง จึงจำเป็นที่จะต้องทำการตรวจสอบปัญหา และแก้ไขให้เรียบร้อย 

ตรวจสอบการเปลี่ยนเส้นทางจากเวอร์ชัน HTTP ไปยัง HTTPS 

แนะนำว่าหากคุณกำลังทำเว็บไซต์อยู่ให้ใช้ HTTPS เพื่อเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้เยี่ยมชม นอกจากนั้น Google ยังใช้เป็นสัญญาณสำหรับการจัดอันดับอีกด้วย แต่การใช้จะต้องมีใบรับรอง SSL ก่อน โดยเปิดให้บริการฟรีผ่าน Let’s Encrypt ซึ่งสามารถขอได้

ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเส้นทางจาก 301 Redirects จากเวอร์ชัน HTTP ไปยัง HTTPS เมื่อต้องการตรวจสอบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางหรือไม่ ให้ไปที่หน้าแรกของเว็บไซต์ จากนั้นสังเกตที่แถบ URL ซึ่งถ้ามีการเปลี่ยนเรียบร้อยแล้วจะปรากฏเป็น : 

https://[www].yourwebsite.com/ และจะมีไอคอนแม่กุญแจปรากฏอยู่ตรงส่วนด้านหน้า

Secure of site

ซึ่งถ้าเป็นในรูปแบบนี้แล้วแปลว่าได้เปลี่ยนเส้นทางจาก HTTP เป็น HTTPS ได้อย่างสมบูรณ์

Secure Redirect

แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนเส้นทางนนี้อาจจะเกิดปัญหาตามมาบ้างเล็กน้อย เช่น

  • การเปลี่ยนเส้นทาง HTTP เป็น HTTPS ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในทุกหน้าเว็บไซต์ของคุณ
  • อาจเกิดการเปลี่ยนเส้นทางที่ไม่ต้องการจาก HTTPS ไปยัง HTTP 

ซึ่งต้องตรวจสอบให้ละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น โดยเรียกใช้การรวบรวมข้อมูลด้วยการใช้เครื่องมือ  Ahrefs’ Site Audit

ไปที่รายงานหน้าภายใน (Internal Page) และตรวจสอบปัญหาเหล่านี้

HTTP to HTPPS Redirect

หากพบคำเตือนว่า “HTTPS to HTTP redirect” ต้องแก้ไขด้วยการเลือกใช้ 301 Redirect ที่เหมาะสมจากเวอร์ชัน HTTP ไปเป็น HTTPS ของหน้าเว็บที่ได้รับผลกระทบ

ลบหน้าเว็บที่มีรหัสสถานะ 301 ออกจาก sitemap ของคุณ

เชื่อไหมว่า Google พิจารณาในส่วน Sitemap เพื่อทำความเข้าใจว่าหน้าใดที่จะรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนี เนื่องจากว่าหน้าเว็บไซต์ที่มีรหัส 301 นั่นแปลว่าไม่มีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องรวบรวมข้อมูลจากหน้าที่ขึ้นสถานะแบบนี้ หากหน้าดังกล่าวยังอยู่ใน Sitemap จะทำให้เสียเวลาและเปลืองงบประมาณในการรวบรวมข้อมูล

วิธีการค้นหาหน้าที่มีรหัสสถานะ 301

  • ค้นหา Sitemap URL ซึ่งหน้าเหล่านี้มักจะมี URL เป็น yourdomain.com/sitemap.xml…แต่ไม่ใช่ทุกกรณี
  • ใช้เครื่องมือ URL Extractor For Web Pages and Text เพื่อดาวน์โหลด URL ทั้งหมด
  • วางรายการ URL นั้นลงในเครื่องมือตรวจสอบรหัสสถานะ HTTP ฟรี แต่จะใช้งานตรวจสอบได้เพียงครั้งละ 100 รายการเท่านั้น
  • คัดกรองหน้าที่มีสหัสสถานะ 301

แต่ถ้าอยากใช้วิธีที่เร็วและง่ายกว่าก็สามารถทำได้ โดยใช้เครื่องมือที่คุ้นเคยอย่าง Ahrefs’ Site Audit เพื่อรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของคุณ จากนั้นไปที่รายงานภาพรวมและมองหาข้อผิดพลาด ซึ่งจะเขียนไว้ว่า “3XX redirect in sitemap” 

3XX redirect in sitemap

การคลิกในส่วนนี้จะแสดงหน้าทั้งหมดที่นหัสสถานะ 301 ใน Sitemap ของคุณ

301 Redirect in sitemap

เมื่อทราบแล้วว่าเป็นหน้าไหนก็ให้ลบ URL เหล่านี้ออกทันที และแทนที่ด้วย URL ที่ถูกเปลี่ยนเส้นทางแล้ว ซึ่งเป็นอันใหม่ที่คุณยังไม่ได้บันทึกเอาไว้ใน Sitemap

แก้ไขลูกโซ่การเปลี่ยนแปลงเส้นทาง 

Redirect chains เกิดขึ้นเมื่อมีชุดการเปลี่ยนเส้นทางตั้งแต่ 2 รายการขึ้นไประหว่าง URL เริ่มต้นและ URL ปลายทาง

โดย Google ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนเส้นทางนี้ไว้ว่า

“แม้ว่า Googlebot และเบราว์เซอร์สามารถติดตาม “ลูกโซ่” ของการเปลี่ยนเส้นทางหลายครั้ง ซึ่งขอแนะนำให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังปลายทางสุดท้าย หากเป็นไปไม่ได้ ให้รักษาจำนวนการเปลี่ยนเส้นทางในห่วงโซ่ให้ต่ำ โดยหลักการแล้วไม่ควรเกิน 3 และน้อยกว่า 5”

อย่างไรก็ตามอยากแนะนำว่าไม่ควรใช้การเปลี่ยนเส้นทาง Redirect Chain เนื่องจากส่งผลให้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานแย่ลง รวมทั้งการทำงานเว็บไซต์ช้าลงอีกด้วย ซึ่งสามารถตรวจสอบการเปลี่ยนเส้นทางรูปแบบนี้ โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบรหัสสถานะ HTTP นี้

Redirects http code checker

แต่หากต้องการตรวจสอบมากกว่า 100 หน้าในครั้งเดียว ให้ตรวจสอบรายงานหน้าภายใน (Internal Page) ในเครื่องมือ Ahrefs’ Site Audit เพื่อตรวจสอบหาข้อผิดพลาด “Redirect chain”

Redirect chain issue

ซึ่งจะเปิดเผย URL ทั้งหมดในห่วงโซ่ รวมถึงหน้าปลายทางสุดท้ายอีกด้วย

Redirect Chain Report Site Audit

และมี 2 วิธีที่ใช้ในการแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านี้

  • การแทนที่ Redirect chain โดย Single 301 redirect แทนที่จะเป็นการเปลี่ยนเส้นทางจากหน้า 1 ไป 2 ไป 3 และไป 4 กลายเป็นการเปลี่ยนหน้าแรกไปยังหน้าปลายทาง เช่น จากหน้าที่ 1 ไปยังหน้า 4 เลย
  • การแทนที่ลิงก์ภายในไปยังหน้าที่เปลี่ยนเส้นทางด้วยการเชื่อมต่อโดยตรงไปยัง URL สุดท้าย วิธีนี้จะป้องกันไม่ให้ Google และบ็อตอื่น ๆ รวบรวมข้อมูลหน้าที่เป็น redirect chain นอกจากนั้นยังช่วยให้เว็บไซต์สามารถเข้าสู่หน้าเพจได้อย่างรวดเร็ว 

ให้เรียงลำดับรายการของ Redirect chain ตามหมายเลขของ inlinks จากสูงไปต่ำ จากนั้นคลิกที่จำนวนลิงก์เพื่อดูลิงก์ภายใรทั้งหมดว่าไปยังหน้าที่ได้รับการเปลี่ยนเส้นทางแล้วหรือยัง

Internal links to redirects

แทนที่ลิงก์ภายในลงไปในหน้าที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนเส้นทาง

แก้ไข Redirect Loops

การเปลี่ยนเส้นทางรูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อ URL เปลี่ยนเส้นทางกลับไปยัง URL อื่น ๆ ในห่วงโซ่ สิ่งนี้จะสร้างการเปลี่ยนเส้นทางแบบลูป วนซ้ำไม่มีที่สิ้นสุด ก่อให้เกิดความสับสนต่อเครื่องมือค้นหา และผู้ใช้งาน

ตัวอย่างเช่น

Page 1 > Page 2 > Page 3 > Page 2 > Page 3 > Page 2 > Page 3 […]

ซึ่งการเปลี่ยนเส้นทางแบบนี้จะทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้งานย่ำแย่สุด ๆ เลยทีเดียว 

This page isn't working because of too many redirects

คุณสามารถค้นหาข้อผิดพลาดของการเปลี่ยนเส้นทางแบบลูปได้ โดยใช่ตัวตรวจสอบรหัสสถานะ HTTP เครื่องมือเดียวกันที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ และไปที่ “Exceeded maximum number of redirects”

Exceeded maximum number of redirects

สำหรับการตรวจสอบที่มากกว่า 100 หน้าเว็บ ให้ตรวจสอบรายงานหน้าภายใน ที่มีอยู่ในเครื่องมือ Ahrefs’ Site Audit จากนั้นค้นหาข้อผิดพลาด “Redirect loop” error

Redirect loop

คลิกเข้าไป จากนั้นจะปรากฏหน้าเว็บทั้งหมดที่มีปัญหาการเปลี่ยนเส้นทาง และทำการแก้ไขปัญหาแต่ละข้อตาม 2 วิธีด้านล่างนี้

วิธีที่ 1  ถ้าไม่ควรเปลี่ยนเส้นทาง URL ให้เปลี่ยนรหัสตอบกลับ FTTP เป็น 200

วิธีที่ 2 ถ้าหาก URL ควรมีการเปลี่ยนเส้นทาง ให้แก้ไข URL ปลายทางสุดท้ายและลบลูบออกไป หรืออีกแย่างหนึ่งให้ลบหรือแทนที่ลิงก์ทั้งหมดไปยัง Redirecting URL

แก้ไขการเปลี่ยนเส้นทางที่เสียหาย

สำหรับการเปลี่ยนเส้นทางในรูปแบบนี้ คือ การเปลี่ยนไปยังหน้าที่ไม่ทำงานแล้ว เช่น หน้าที่ส่งคืนรหัสตอบกลับ HTTP 4XX หรือ 5XX

ตัวอย่างเช่น

การเปลี่ยนเส้นทางจาก Page 1 (301) ไปยัง Page 2 (404)

ซึ่งจะทำให้ส่งผลเสียต่อการใช้งานของผู้เยี่ยมชม และยังทำให้เครื่องมือการค้นหาไม่สามารถเข้าถึง URL ปลายทางสุดท้ายได้นั่นเอง ดังนั้นผู้เยี่ยมชมจะคลิกออกจากเว็บไซต์ในทันทีเมื่อเข้ามา รวมทั้งเครื่องมือค้นหาส่วนใหญ่จะไม่เข้ารวบรวมข้อมูลในหน้านั้น ๆ 

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรวจสอบข้อผิดพลาด โดยการตรวจสอบทีละ 100 รายการจะทำให้รวดเร็วขึ้น เพียงแค่ใช้เครื่องมือเดิม ก็คือเครื่องมือตรวจสอบรหัสสถานะ HTTP

Status Code 301-404

หากต้องการตรวจสอบหน้าเพิ่มเติมให้มองหาข้อผิดพลาด “Broken redirect” errors ในรายงานหน้าภายในของเครื่องมือตรวจสอบ Ahrefs’ Site Audit

Broken redirect

เมื่อพบปัญหาแล้ว ต้องทำการแก้ไขทันที โดยสามารถทตาม 2 วิธี ดังนี้

วิธีที่ 1  การคืนสถานะเพจที่ไม่ทำงาน หากคุณเผลอลบโดยไม่ได้ตั้งใจ

วิธีที่ 2 การลบลิงก์ที่ไปยัง redirect URL

การเปลี่ยนเส้นทาง 404 Redirect

หน้าเว็บไซต์ที่มีการแสดงสถานะ 404 แปลว่าใช้งานไม่ได้ ดังนั้นเบราว์เซอร์จึงต้องส่งคืนหน้าเว็บในลักษณะนี้กลับไป

404 error - page not found

แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ใช้งานพิมพ์ URL ผิด ก็จะเกิดการปรากฏหน้าดังกล่าวนี้ได้ 

ปัญหาที่เกิดจากหน้าเว็บไซต์ที่มีรหัสสถานะ 404 จะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่

  1. หน้านั้นสามารถรวบรวมข้อมูลได้ แปลว่าผู้คนจะสามารถคลิกลิงก์เข้าสู่หน้านั้นได้ แน่นอนว่าจะส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้งาน
  2. มีลิงก์ย้อนกลับ เมื่อมีลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้า 404 ได้ หมายความว่าลิงก์เหล่านั้นจะสูญเปล่าทันที 

เพราะฉะนั้นต้องตรวจสอบปัญหาในหน้ารายงานลิงก์ภายในของเครื่องมือ Ahrefs’ Site Audit เพื่อค้นหาข้อผิดพลาด “404 page” errors

404 page error - site audit

เมื่อคลิกเข้าไปจะปรากฏหน้า 404 ทั้งหมดที่พบระหว่างการรวบรวมข้อมูล จากนั้นให้กดปุ่ม “Manage columns” เพิ่มคอลัมน์ “No. of dofollow backlinks” และกด “Apply” จากนั้นเรียงลำดับตามคอลัมน์นนี้จากสูงไปต่ำ

404 backlinks - site audit

ตรวจสอบรายงานลิงก์ย้อนกลับใน Ahrefs Site Explorer เพื่อหน้าหน้าใด ๆ ก็ตามที่มีลิงก์ย้อนกลับ “dofollow” และทำการเปลี่ยนเส้นทาง 301 ของหน้านั้นไปยังแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกันในเว็บไซต์

สิ่งสำคัญ

การเปลี่ยนเส้นทาง 404 ไปยังตำแหน่งที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญต่อเว็บไซต์ ซึ่งได้ออธิบานเพิ่มเติมในวิดีโอด้านล่างนี้

สำหรับหน้าเว็บที่ไม่มีลิงก์ย้อนกลับ “dofollow” สามารถแก้ไขได้ดังนี้

  1. การคืนสถานะเพจที่ไม่ทำงาน
  2. การเปลี่ยนเส้นทาง (301) ในหน้าที่ไม่ทำงาน หรือไปยังหน้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  3. การลบหรือเปลี่ยนลิงก์ภายในทั้งหมดไปยังหน้าที่ไม่ทำงาน

ซึ่งหากคุณเลือกใช้วิธีในข้อที่ 3 ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่เพียงแค่เปลี่ยนลิงก์ภายในเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยน Anchor Text และ Serrouding Text เมื่อจำเป็น

แทนที่การเปลี่ยนเส้นทาง 302 Redirect และการเปลี่ยนเส้นทางของ meta refresh redirect ด้วย 301s

หากต้องการเปลี่ยนแปลงเส้นทางอย่างถาวร ห้ามใช้ 302 redirect และ meta refresh redirect ซึ่งการเปลี่ยนเส้นทาง 302 มีไว้สำหรับการย้ายชั่วคราว และ Google ขอแนะนำว่าอย่าใช้การเปลี่ยนเส้นทางการรีเฟรชเมตาเลยหากเป็นไปได้ ดังนั้นหากคุณมีการเปลี่ยนเส้นทางทั้ง 2 แบบนี้บนไซต์ของคุณ แนะนำให้ลบออก หรือแทนที่ด้วย 301 redirects

การตรวจสอบหน้าเว็บที่มีการเปลี่ยนเส้นทางทั้ง 2 แบบนี้ สามารถตรวจสอบได้ที่รายงานหน้าภายในของเครื่องมือ Ahrefs’ Site Audit ไปที่ปัญหา “Meta refresh redirect” และ “302 redirect”

“Meta refresh redirect” และ “302 redirect”

แต่เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ไม่ยาก ซึ่งทำได้ตามวิธีดังนี้

  • หากต้องการเปลี่ยนเส้นทางแบบถาวรให้ใช้ 301 redirects แทน
  • หากต้องการเปลี่ยนเส้นทางชั่วคราว ให้ลบการเปลี่ยนเส้นทางออกไป

จากนั้นควรจะลบหรือแทนที่ลิงก์ภายในที่เชื่อมโยงไปยังหน้าที่ที่เปลี่ยนเส้นทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลิงก์เหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้งาน

ค้นหาหน้าเว็บที่มีการเปลี่ยนเส้นทาง 301 ซึ่งได้รับการเข้าชมแบบออร์แกนิก

หน้าเว็บที่มีรหัสสถานะ HTTP 301 ไม่ควรได้รับการเข้าชมทั่วไป เนื่องจากไม่ควรที่จะอยู่ในหน้าดัชนีของ Google หากหน้าดังกล่าวได้รับการเข้าชม แสดงว่า Google ยังไม่สามารถตรวจเจอการเปลี่ยนเส้นทาง

หากต้องการตรวจสอบหน้า 3XX ที่มีการเข้าชม ให้ตรวจสอบในรายงานภาพรวม (Overview Report) ของเครื่องมือ Ahrefs’ Site Audit จากนั้นหา “3XX page receives organic traffic” errors

“3XX page receives organic traffic” errors

หากได้รับรายการหน้า 3XX จากที่อื่น ให้นำมาวางลงในเครื่องมือ Ahrefs’ Batch Analysis เพื่อดูปริมาณการเข้าชมทั่วไป 

 Ahrefs’ Batch Analysis

แต่อย่างไรก็ตามคุณสามารถตรวจสอบปริมาณการเข้าชมแบบออร์แกนิกได้ โดยใช้เครื่องมือ Google Analytics หรือ Google Search Console 

หากคุณพึ่งเพิ่มการเปลี่ยนเส้นทาง แนะนำให้ข้อจัดทำดัชนีก่อน เมื่อ Google ได้รวบรวมข้อมูลเว็บเรียบร้อย ให้ยกเลิกการจัดทำดัชนี

Request indexing

นอกจากนั้นยังจำเป็นที่จะต้องลบหน้าเหล่านี้ออกจาก Sitemap และส่งออกผ่าน Google Search Console

มองหา External 301s ที่ไม่ดี 

แน่นอนว่าเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะมีการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกียวข้องกัน แต่หากลิงก์เชื่อมโยงของคุณถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังแหล่งข้อมูลที่ไม่ดี หรือเป็นอันตรายต่อผู้เยี่ยมชมคุณจำเป็นที่จะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา

External 3XX redirect

เมื่อคลิกเข้าไปจะปรากฏรายการลิงก์ภายนอกที่เปลี่ยนเส้นทางทั้งหมด รวมถึง URL ปลายทางสุดท้าย

เห็นเพจจำนวนมากนี่ใช่ไหม?

เนื่องจาก nofollowed external links มักจะปรากฏเหมือนกับความคิดเห็นที่อยู่ภายในบล็อก ซึ่งสามารถลบลิงก์เหล่านี้ออกได้ เพียงแค่เพิ่มคำว่า “No. of inlinks dofollow > 0”

bad-external-301s-prioritize

สิ่งนี้จะช่วยจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ 

จากนั้นให้ตรวจสอบที่รายงาน โดยดูที่คอลัมน์ URL และ Redirect URL และทำการตรวจสอบการเปลี่ยนเส้นทางที่ดูเหมือนไม่ถูกต้อง 

ตัวอย่างเช่น

301-redirect-external-irrelevant

ปัญหาที่ต้องกังวลคือหน้าที่เปลี่ยนเส้นทาง กลายเป็นบทความที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น

  • ชื่อบทความต้นฉบับ : การใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อเพิ่มการเปลี่ยนแปลง SaaS
  • ชื่อบทความที่เปลี่ยนเส้นทาง : การทำความเข้าใจลูกค้าจะช่วยให้สร้างการขายได้เป็นอย่างดี

เมื่อเกิดกรณีปัญหาเหล่านี้ วิธีที่ดีที่สุดคือลบลิงก์ภายในที่ไปยังหน้าที่เปลี่ยนเส้นทาง ทำได้โดยการกดหมายเลขของลิงก์ในคอลัมน์ “No. of inlinks” เพื่อดูทุกหน้าที่มีลิงก์ภายในไปยังหน้าที่เปลี่ยนเส้นทาง

Inlinks in CMS

เข้าไปใน CMS ของคุณจากนั้นให้ลบออกไป

วิธีการใช้งาน 301 Redirects เพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมให้สูงขึ้น

หากมีการใช้งานที่ถูกต้องจะทำให้เว็บไวต์ของคุณปลอดภัย และมีประสิทธิภาพการใช้งานสูง ซึ่งการเปลี่ยนเส้นทาง 301 จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อ SEO ไม่เพียงเท่านั้นการเปลี่ยนเส้นทางในรูปแบบนี้ยังช่วยให้สามารถเพิ่มปริมาณการเข้าชมแบบออร์แกนิกได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว 

ซึ่งมี 2 วิธีที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเข้าชมออร์แกนิคด้วยการใช้ 301 Redirects

  1. Cocktail Technique
  2. Merger Method

ถ้าพร้อมแล้วมาเรียนรู้ในแต่ละวิธีกันเลย 

Cocktail Technique

เทคนิคนี้เปรียบเสมือนการผสมเครื่องดื่มเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มความอร่อย ดังนั้นเราจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าเครื่องดื่มจะเป็นดั่งหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า ที่มีคุณสมบัติ ลิงกฺย้อนกลับ ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งจะดีกว่าไหมถ้าเรารวมหน้าสองหน้าที่มีความเกี่ยวเนื่องกันเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างหน้าเว็บไซต์ที่มีคุณภาพดีกว่าเดิม

ตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้ทางเราได้รวมหน้าเว็บไซต์สองหน้าเข้าด้วยกัน ได้แก่

  1. https://ahrefs.com/blog/skyscraper-technique/
  2. https://ahrefs.com/blog/skyscraper-technique-fail/ 

ทำไมเราจึงต้องรวมหน้า เนื่องจากว่าบทความในแต่ละหน้านั้นค่อนข้างเก่าแล้ว และยังไม่มีการอัปเดตใด ๆ จึงตัดสินใจรวมบทความเหล่านี้ให้เป็นอันเดียวกัน จากนั้นก็ทำการเผยแพร่ซ้ำโดยเปลี่ยน URL เป็น ahrefs.com/blog/skyscraper-technique/ และเปลี่ยนเส้นทางของบทความอื่นไปที่นั่น

และนี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการรวมหน้า ปรากฏว่าอัตราการเยี่ยมชมเว็บไซต์พุ่งสูงขึ้นจากเดิมมากถึง 3 เท่า

301 Redirect implemented can increase 3X more traffic

ทำไมการรวมหน้าเว็บจึงมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งมีเหตุผลอธิบายเอาไว้ 2 ข้อ ดังนี้

  1. เป็นการรวม Authority หรืออำนาจของเว็บไซต์ ซึ่งหน้าที่จะรวมกันได้นั้นจะต้องมีความเกี่ยวเนื่องกัน หลังจากนั้นทำการเปลี่ยนเส้นทาง 301 จึงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
  2. เป็นการปรับเนื้อหาภายในหน้าเว็บให้ดีกว่าเดิม เมื่อบทความจากทั้งสองหน้านั้นเก่าและล้าสมัยแล้ว จำเป็นต้องอัปเดตด้วยการรำข้อมูลที่ดีที่สุดทั้งสองบทความมารวมกัน จะทำให้เกิดเนื้อหาที่ดีขึ้น และช่วยเพิ่มให้มีผู้คนเข้าเยี่ยมชมหน้าเว็บมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

ดังนั้นเรามาดูกันว่าการใช้เทคนิคค็อกเทลนี้ จะต้องทำอะไรบ้าง มีกี่ขั้นตอน

Step 1 ค้นหาปัญหา Keyword cannibalization 

สำหรับ Keyword cannibalization อาจจะเป็นคำที่ไม่คุ้นหูของใครหลายคน ซึ่งมันคือปัญหาที่ส่งผลต่อ SEO และนอกจากนั้นยังทำให้อันดับเว็บไซต์ร่วงตกอันดับได้อีกด้วย โดยสิ่งนี้คือการทำ SEO ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ในแต่ละเพจของเว็บไซต์ จนทำให้ Search Engine เกิดความสับสนว่าหน้าเพจไหนมีความสำคัญ และหน้าไหนที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน 

การค้นหาปัญหานี้สามารถทำได้ด้วยการใช้ Ahrefs’ Site Explorer วาง URL ของเว็บไซต์ลงไปในเครื่องมือ และไปที่รายงาน Top Pages จากนั้นส่งออกเป็น CSV

Top page report from Ahrefs’ Site Explorer

เมื่อได้ไฟล์ CSV แล้ว ให้ Import เข้าไปในแท็บแรกของ Google Sheet ตามขั้นตอนดังนี้

ไปที่ไฟล์ > Import…> Upload > เลือก CSV > เลือก “Append to current sheet”

จากนั้นให้ไปที่แท็บผลลัพธ์ จะได้ผลลัพธ์ที่ได้รับการปรับปรุง

Append to current sheet

Step 2 ค้นหาโอกาสที่เกี่ยวข้อง

เมื่อได้ผลลัพธ์มาต้องตรวจสอบให้ละเอียด และดูโอกาสในการเปลี่ยนเส้นทางที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งนี่เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ จากบล็อก Hubspot

HubSpot
The article in HubSpot website

โดยสองหน้าเพจนี้อยู่ในอันดับที่ 5 และ 6 สำหรับการจัดอันดับในเนื้อหาที่ผู้ใช้งานสร้างขึ้น ซึ่งทั้งสองหน้าเพจสามารถรวมกันได้เนื่องจาก

  1. มีความคล้ายคลึงกันมาก
  2. มีลิงก์ย้อนกลับมากมายจากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกับของใคร จากโดเมนอ้างอิงทั้งหมด 467 โดเมน
  3. มีอัตราการเข้าชมแบบออร์แกนิกในปริมาณเล็กน้อย

ต่อมาจะพามาดูหน้าเพจอันดับสูงสุดสำหรับเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นใน Ahrefs’ Keywords Explorer

User generated content SERP overview ahrefs

ซึ่งหน้านี้มีสองสิ่งที่โดดเด่นกว่าหน้าอื่น ๆ จึงถูกจัดอันดับให้เป็นอันดับที่ 1 โดยสิ่งที่แตกต่างจากหน้าเพจที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน มีดังนี้

  1. หน้าเพจอันดับ 1 นี้ มีอัตราการเข้าชมมากกว่าหน้าเพจของ Hubspot 2 หน้าที่รวมกันมากถึง 2 เท่า เลยทีเดียว
  2. หน้านี้มีลิงก์โดเมนอ้างอิง 192 โดเมน ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของหน้าเพจรวมจาก Hubspot ที่มีโดเมนอ้างอิงมากถึง 467 โดเมน

แต่อย่างไรก็ตามยังเชื่อมั่นว่าหากรวมหน้าในอันดับที่ต่ำกว่าอันดับ 1 เช่น 3 และ 4 เข้าด้วยกัน จะเพิ่มโอกาสที่ดีในการเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บไซต์ และเพิ่มอัตราการเข้าชมได้มากถึง 2 เท่า ไม่เพียงเท่านั้นหน้าที่รวมกันใหม่อาจจะมีอันดับพุ้งทะยานไปสู่ลำดับที่ 1 เลยก็อาจเป็นไปได้

Step 3 เขียนใหม่และรวมหน้าต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

ถึงเวลาแล้วที่เราจะนำสิ่งที่ดีที่สุดในแต่ละหน้ามารวมไว้เป็นหน้าเดียวกัน เช่น การรวมหัวข้อเกี่ยวกับ “How to Run Your Own User Generated Content Campaign” ของเว็บไซต์ Hubspot เอามาไว้ในโพสต์เดียวกัน

“How to Run Your Own User Generated Content Campaign”

และเขียนอธิบายเอาไว้ว่าทำไมถึงได้เป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น โดนมาจากที่อื่น ๆ 

Section of Article

เพื่อทำให้หน้าใหม่ที่เกิดจากการเขียนและรวมเนื้อหานี้มีความเกี่ยวเนื่องกันสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และลดความเสี่ยงที่ Google จะคิดว่าการเปลี่ยนเส้นทาง 301 ของเราเป็นแบบ soft 404 ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบรายงาน Anchors ใน Site Explorer ของแต่ละหน้าเว็บ

รายงาน Anchors ใน Site Explorer

คุณจะได้ข้อมูลเชิงลึกว่าเพราะเหตุใดผู้คนจึงลิงก์ไปยังเพจต่าง ๆ ในตอนแรก ตัวอย่างเช่น หากเห็นว่ามีคนจำนวนไม่มากหนักที่อ้างอิงค่าทางสถิติ เมื่อลิงก์มายังหน้านี้ ดังนั้นอาจไม่คุ้มค่าที่จะเก็บข้อมูลสถิติเหล่านี้เอาไว้ในเนื้อหาที่กำลังจะปรับปรุงใหม่ของเรา 

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับมือโปร

แนะนำว่าควรเขียนใหม่และรวมสองหน้าเข้าด้วยกัน เพื่อให้เนื้อหาที่ดีขึ้น สามารถตอบโจทย์ผู้ค้นหาได้อย่างครอบคลุม 

Step 4 เผยแพร่หน้าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว และใช้การเปลี่ยนเส้นทาง 301

หาก URL เก่าที่มีอยู่เหมาะสมกับโพสต์ที่เขียนใหม่ แนะนำให้เผยแพร่ศ้ำได้เลย โดยใช้ URL เดียวกัน จากนั้นให้ลบโพสต์ หรือหน้าเพจอื่น ๆ ที่เป็นอันเดิมออก และเพิ่มการเปลี่ยนเส้นทาง 301 ไปยังโพสต์ใหม่ได้ทันที

แต่หากไม่มี URL เก่าที่ตรงกับโพสต์ใหม่ หรือเพจใหม่ แนะนำให้เปลี่ยนเส้นทาง 301 ทั้งสองหน้าไปยัง URL ใหม่ทั้งหมด 

ตัวอย่างเช่น

การรวมโพสต์ของ Hubspot ทั้งสองโพสต์เข้ากับเนื้อหาที่เขียนใหม่

UGC HubSpot Mockup

ดังนั้นจะเห็นว่า URL เก่าใช้ไม่ได้ แนะนำให้เปลี่ยนเป็นอันใหม่ เช่น  

blog.hubspot.com/marketing/user-generated-content/ และเปลี่ยนเส้นทางจาก URL เก่ามายังอันใหม่ เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้น

Merger Method

ต่อมานี่คือสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงต่ออัตราการเข้าชมเว็บไซต์ เมื่อมีการใช้วิธีนี้

Organic Traffic Report in one year

จะเห็นได้ว่าการเข้าชมเพิ่มขึ้นประมาณ 116% ในระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงพอสมควรเลย

และนี่ก็คือขั้นตอนโดยสรุปสำหรับวิธีนี้

  1. ซื้อเว็บไซต์อื่น ๆ ที่อยู่ในเครือเดียวกันกับเว็บไซต์หรือธุรกิจของคุณ
  2. รวมไซต์ของผู้อื่น เข้ากับของคุณ และใช้การเปลี่ยนเส้นทาง 301

ซึ่งเคสตัวอย่างของ Brian Dean จาก Backlinko ได้ซื้อ SEO blog – Point Blank SEO จากคนอื่น และทำการเปลี่ยนเส้นทางไปที่ Backlinko ปรากฏว่าการทำเช่นนี้ช่วยเพิ่มอัตราการเยี่ยมชมพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว

แต่ก่อนที่จะไปซื้อเว็บไซต์อื่น ๆ ยังมีสิ่งที่คุณต้องทำความเข้าใจบางประการ ซึ่งการประสบความสำเร็จด้วยการใช้วิธีนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมันเป็นวิธีทางลัดและรวดเร็วมาก ดังนั้นหากใครที่อยากทดลองทำดู แนะนำว่าทำตามทีละขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 รีโฮมและเปลี่ยนเส้นทางเนื้อหา

การชมที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงที่สุด น่าจะมาจากการรีโฮม และการเปลี่ยนเส้นทางเนื้อหา ซึ่งกรณีตัวอย่างของ Brian Dean เขาได้ใช้วิธีนี้กับโพสต์บางส่วนในเว็บไซต์ pointblankseo.com ที่ซื้อมา 

pointblankseo-redirect

และนี่ก็คือโปรไฟล์ลิงก์ย้อนกลับของเว็บนี้

pointblankseo-link-building-strategies-backlink-profile

Original URL : pointblankseo.com/link-building-strategies

New (Redirect) URL : backlinko.com/link-building-strategies

เนื่องจากคุณไบรอันได้ย้ายโพสต์จากโดเมนเก่าไปยังโดเทนใหม่ด้วยการเปลี่ยนเส้นทาง 301 เพราะฉะนั้นลิงก์ทั้งหมดจึงชี้ไปยังหน้าเดียวกันบนเว็บไซต์ backlinko.com แทน 

การรีโฮมและการเปลี่ยนเส้นทางเนื้อหาจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เมื่อเนื้อหามีคุณสมบัติดังนี้

  • เนื้อหามีการเข้าชมแบบออร์แกนิก
  • หัวข้อที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
  • เนื้อหามีคุณภาพสูง

เมื่อมีการย้ายและเปลี่ยนเส้นทางแล้ว แนะนำว่าควรต้องอัปเดตและเขียนเนื้อหาใหม่ เพื่อให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม

PointBlank SEO Article
New version of article

ขั้นตอนที่ 2 ลบและเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าอื่น

ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บหน้าที่ไร้ประโยชน์นี้เอาไว้ หากเป็นหน้าเว็บที่มีศักยภาพในการเข้าชมต่ำมาก และเนื้อหายังซ้ำกับหัวข้อที่พูดถึงไปแล้วในเว็บไซต์ แนะนำว่าให้ลบออกและเปลี่ยนเส้นทางไปหน้าอื่นแทน

การที่มีหน้าเว็บเนื้อหาซ้ำกัน และใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันบ่อย ๆ จะก่อให้เกิดปัญหา Keyword cannibalization ได้ แนะนำว่าลบออกไปเลยจะดีกว่า ยิ่งถ้ามีอัตราการเข้าชมต่ำก็ไม่ควรจะเก็บหน้านั้น ๆ เอาไว้

pointblankseo-egobait-guide

อย่างตัวอย่างภาพด้านบนไบรอันได้ลบหน้าเดิมออก และเปลี่ยนเส้นทางไปยังบนบล็อกของเจาเอง ซึ่งเป็นบล็อกที่เกี่ยวกับเครื่องมือการสร้างลิงก์

Original URL : pointblankseo.com/outreach-platforms

New (Redirect) URL : backlinko.com/link-building-tools

เขาจำเป็นต้องเปลี่ยน URL ใหม่ เนื่องจากคีย์เวิร์ดในแพลตฟอร์มเดิมที่เผยแพร่ออกไป ไม่มีปริมาณการค้นหา และไม่มีศักยภาพในการเข้าชม นอกจากนั้นยังไม่ใช่หัวข้อที่ควรค่าแก่การกำหนดเป้าหมาย

outreach-platforms-keywords-explorer

ดังนั้นจึงเหมาะสมกว่าที่จะเปลี่ยนเส้นทางโพสต์นี้ไปยังโพสต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีอัตราการเข้าชมที่สูงกว่านั่นเอง

ขั้นตอนที่ 3 ลบและเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าแรกของคุณ

หากไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทาง และไม่มีเหตุผลจำเป็นในการย้ายและเปลี่ยนเส้นทางใหม่ วิธีสุดท้ายคือการเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าแรกของคุณ

ตัวอย่างดังภาพด้านล่างนี้

pointblankseo-egobait-guide

Original URL : pointblankseo.com/egobait-guide

New (Redirect) URL : backlinko.com/blog

ซึ่งอยากจะแนะนำว่าไม่ควรเปลี่ยนเส้นทางหน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับคุณภาพต่ำ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้นจำเป็นต้องตรวจสอบในรายงาน Backlinks ใน Site Explorer สำหรับแต่ละหน้าก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางหน้าเว็บนั้น ๆ 

Bad backlink checked by Site Explorer

หากโปรไฟล์ของลิงก์ย้อนกลับมีลักษณะดังภาพด้านบนนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือลบหน้านั้นออก และปล่อยให้เป็นสถานะ 404

หรือหากคุณรู้สึกว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางหน้าเว็บจริง ๆ และหน้านั้นมีลิงก์ย้อนกลับที่มีคุณภาพต่ำ แนะนำให้ลบลิงก์เหล่านั้นออก แล้วจึงทำการเปลี่ยนเส้นทาง

สรุป

สำหรับการเปลี่ยนเส้นทาง 301 Redirects ถือว่ามีผลดีหลายด้านต่อ SEO โดยเฉพาะการเพิ่มอัตราการเข้าชมแบบออร์แกนิกได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่อย่างไรก็ตามต้องแน่ใจก่อนว่าการเปลี่ยนเส้นทางจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นตามมา เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการทำ SEO ของเว็บไซต์ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นต้องตรวจสอบให้อย่างละเอียดถี่ถ้วนทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนเส้นทาง 301 ของเว็บไซต์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมานั่นเอง

สวัสดีค่ะทุกคน ชื่อหมูนะคะ เราเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบงานเขียนมาก ๆ ค่ะ เพราะงานเขียนเปรียบเสมือนกับการสร้างโลกในจินตนาการของเราขึ้นมา โลกใบนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสนุกสนาน เเละความรู้มากมายที่เราสามารถผจญภัยไปได้เเบบไม่มีลิมิต มาท่องโลกของตัวหนังสือไปพร้อมกันนะคะ