featured image of google sitelink

Google Sitelink คืออะไร มาทำความรู้จัก พร้อมบอกข้อดี และวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง

ใครอยากเปิดการมองเห็นเว็บไซต์ขอให้ยกมือขึ้น Google Sitelink ลิงก์ย่อยที่เชื่อมไปยังหน้าเว็บอื่น หรือส่วนต่าง ๆ ในเว็บที่อยู่ใน Domain เดียวกัน การใส่ลงไปจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้แก่เว็บตามกฎการค้นหาของ Google ซึ่งเจ้าสิ่งนี้ปรากฏการใช้งานครั้งแรกในปี 2548 และถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการในปี 2549 นั่นเอง

หากใครยังไม่เห็นภาพนี่คือตัวอย่าง :

ตัวอย่างของ google sitelink

Sitelink หนึ่งในฟีเจอร์การค้นหาพื้นฐานที่สุด ซึ่งปรากฏอยู่ใน SERPs กว่า 1.8% จากฐานข้อมูล Ahrefs ของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากแทบทุกแบรนด์ หรือทุกเว็บมีการทำสิ่งนี้ และยังปรากฏอยู่ในคำค้นหาอื่น ๆ อีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคีย์เวิร์ดออร์แกนิกกว่า 70% ใน Wikipedia.org ยังล้วนประกอบไปด้วยไซต์ลิงก์อีกด้วย

ต่อไปเราจะมาทำความรู้จักกันมากขึ้น ตามหัวข้อด้านล่างนี้ :

ต้องบอกก่อนว่าการทำไซต์ลิงก์มีการพัฒนาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และแสดงผลในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย เนื่องจาก Google เปลี่ยนแปลงกฎค่อนข้างบ่อย ซึ่งส่งผลกระทบต่อจำนวนลิงก์ที่แสดง รวมถึงรูปแบบในการค้นหาด้วย ดังนั้นบางครั้งเราอาจเห็นไซต์ลิงก์เป็นแบบส่วนขยายเรียงกันอยู่ด้านล่าง Meta Description ของเว็บไซต์ หรือเห็นเป็นโครงสร้าง Carousel ที่มีรูป หรือวิดีโอเรียงกันหลาย ๆ อัน พร้อมคำบรรยายให้เลื่อนดู และคลิกเพื่อเข้าสู่เว็บไซต์ได้อย่างอิสระนั่นเอง โดยสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ดังนี้

Paid Sitelink

นอกจากไซต์ลิงก์แบบธรรมชาติแล้ว ข้อดีอย่างหนึ่งของประเภทนี้ คือหากเว็บไซต์ของเราทำ Google ads จะสามารถสร้าง Extension Link ที่สามารถปรับแต่งข้อความ และ URL ที่แสดงผลบนโฆษณาได้เอง ไม่เหมือนแบบอื่นที่ต้องอ้างอิงจากสิ่งที่อัลกอริทึมสร้างให้เท่านั้น

Organic Sitelink

เป็นไซต์ลิงก์ทั่วไปที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด รองรับการค้นหาทั้งชื่อแบรนด์ หรือชื่อเว็บไซต์โดยตรง ประกอบไปด้วย 6 หัวข้อลิงก์ไปยังหน้าต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของเรา และจะปรากฏเฉพาะเว็บไซต์อันดับ 1 ที่ค้นหาเจออยู่ด้านบนสุดเท่านั้น

example of organic sitelink

Organic one-line Sitelink

ปรากฏให้เห็นได้กับคำค้นหาหลายประเภท ปกติจะประกอบไปด้วยลิงก์ 4 อันเรียงกันเป็นเมนูบรรทัดเดียว โดยอาจแสดงผลในรูปแบบอื่นที่มีจำนวนลิงก์มากขึ้น เช่น Carousel ซึ่งจะนำไปยังหน้าต่าง ๆ บนเว็บไซต์ หรือหัวข้อเนื้อหาภายในหน้านั้น และสามารถแสดงขึ้นมาได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องค้นหาด้วยชื่อแบรนด์ หรือต้องเป็นเว็บไซต์อันดับ 1

Another example of organic oneline sitelink

Organic Sitelink Search Box

เป็นประเภทที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหา หรือข้ามไปยังหน้าที่ต้องการบนเว็บไซต์ได้ทันที ซึ่งช่องค้นหานี้จะถูกเพิ่มเข้าไปแบบอัตโนมัติโดยอัลกอริทึมของ Google และสามารถเพิ่มโครงสร้างข้อมูล หรือ Structured Data ในหน้า Homepage เพื่อให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของเรามากขึ้นได้ แต่ก็ไม่จำเป็นซะทีเดียว เนื่องจากไม่ได้ช่วยให้ไซต์ลิงก์ปรากฏในผลการค้นหามากขึ้น

example of organic sitelink search box

เพราะไม่เพียงช่วยเปิดการมองเห็นให้เว็บไซต์ของเรามากขึ้น แต่ยังสร้างพื้นที่ และทำให้เว็บโดดเด่นออกมาจากคู่แข่งด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาคอนเทนต์ที่ตัวเองสนใจได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะอยู่ในหน้าเดียวกัน หรืออยู่ในหน้าเว็บอื่นก็ได้ ยกตัวอย่าง โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Google Search Console ในการค้นหาคำว่า “ahrefs” ผลลัพธ์กว่า 12.6% มีการกดคลิกเข้าไปยังไซต์ลิงก์มากกว่าหน้าโฮมเพจ ซึ่งเราสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดติดอันดับที่มีไซต์ลิงก์ในเว็บของตัวเองจากการฟิลเตอร์ใน Ahrefs ได้อีกด้วย

why is sitelink important

ถึงแม้ว่าการทำทั่วไปจะไม่มีข้อกำหนด หรือเครื่องมือในการสร้างเฉพาะตัว เพราะเป็นสิ่งที่อัลกอริทึมกำหนดขึ้นเอง โดยที่สมัยก่อนอาจปรับแต่งใน Google Search Console ได้บ้าง แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ Google ได้นำฟังก์ชันนี้ออกไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้อยู่ นั่นคือ

  1. วางผังโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นหมวดหมู่ และง่ายต่อการค้นหา โดยการวางโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ นอกจากช่วยให้คนภายนอกใช้งานได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาที่เราต้องการสื่อ และเก็บข้อมูลง่ายขึ้นอีกด้วย 
  1. ให้ความสำคัญกับการใส่ลิงก์ภายในเว็บไซต์ (Internal Linking) การใส่ลิงก์เชื่อมโยงหน้าเว็บของเราไปยังหน้าอื่น ๆ และ Anchor Text เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่ม Traffic ภายในเว็บได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากเราใส่ลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าหลักที่เราต้องการส่งเสริม ก็จะช่วยเพิ่มแนวโน้มที่ Google จะทำให้หน้านั้นกลายเป็น Sitelink ได้มากยิ่งขึ้น 
  1. ทำ Noindex ในหน้าที่เราไม่ต้องการให้ปรากฏบน Sitelink เนื่องจากหน้าที่มีการทำ Noindex จะไม่ถูกจัดทำ หรือจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของ Google แต่ต้องบอกก่อนว่านี่อาจไม่ใช่วิธีที่ดีในการปรับปรุงโครงสร้างสักเท่าไหร่ แต่ก็สามารถเรียนรู้ไว้สำหรับปรับใช้ในบางกรณีได้
  1. หากไม่ต้องการให้ช่องค้นหา Sitelink ปรากฏขึ้นบนเว็บไซต์ สามารถลบช่องค้นหาได้โดยการเพิ่ม Tag นี้ในหน้าโฮมเพจ <meta name=”google” content=”nositelinkssearchbox”/>
  1. ปรับแต่งเว็บไซต์ให้เป็น User Friendly ที่เหมาะสมต่อการใช้งาน และให้ผลลัพธ์แง่บวก เช่น
  • ใส่แท็ก Hreflang ช่วยให้ Google แสดงผลไซต์ลิงก์ตามภาษา และประเทศที่เกี่ยวข้อง
  • ใส่หัวเรื่องเข้าไป เนื่องจากไซต์ลิงก์บรรทัดเดียวส่วนมากมักมีเนื้อหาเดียวกันกับหัวเรื่องในหน้าเว็บ นอกจากนี้ยังสามารถรวมหัวข้อย่อยไว้เป็นสารบัญในช่วงต้นของบทความ เพื่อความสะดวกในการค้นหาได้อีกด้วย
  • เลือกใช้คำที่คนส่วนมากสนใจ เพราะคำที่มีการค้นหาส่วนใหญ่มักเป็นคำที่แสดงอยู่บนไซต์ลิงก์ด้วย เช่น ในกรณีของ “ahrefs” ซึ่งดูตัวอย่างได้จากภาพ
most word that are searched will be on sitelink

นอกจากนี้ใน Ahrefs สามารถตรวจสอบได้ว่าคีย์เวิร์ดไหนที่กำลังถูกใช้เป็นไซต์ลิงก์ให้กับเว็บของเรา และมีหน้าใดบ้างที่แสดงอยู่ในลิงก์เหล่านั้น เพียงกดไปที่เมนู Organic Keyword ใน Ahrefs เลือก “Sitelinks” จากเมนู SERP features แล้วคลิกเปิด “Only linking to target” เท่านี้ก็เรียบร้อย

how to check keywords which are using for sitelink

สรุป

Sitelink คือสิ่งที่มีประโยชน์ และสำคัญมากต่อเว็บไซต์รวมถึงผู้ใช้งาน ซึ่งอาจไม่มีเครื่องมือควบคุม หรือหลักการทำงานที่ตายตัว แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยหลายประการที่มีผลต่อการแสดงผล ซึ่งหากมีลิงก์แสดงข้อมูลที่มีคุณภาพสูง ก็จะส่งผลดีต่อเว็บไซต์ และเพิ่มอัตราการเข้าชมแบบ Organic traffic ให้สูงขึ้นได้

ซึ่งใครที่อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถตามอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ : https://thekalling.com/tkl-blog/