เครื่องมือค้นหา หรือ Search Engine ทำงานโดยการรวบรวมข้อมูลหน้าเว็บไซต์หลายพันล้านหน้า ซึ่งมีการใช้โปรแกรมรวบรวมข้อมูล หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสไปเดอร์ หรือ บอท เพื่อนำทางเว็บไซต์และติดตามลิงก์ในการค้นหาหน้าใหม่ ๆ โดยหน้าเว็บจะถูกนำไปจัดทำดัชนีที่เครื่องมือค้นหาสามารถดึงผลลัพธ์มาแสดงให้กับผู้ใช้งาน
ดังนั้นการทำความเข้าใจว่าเครื่องมือค้นหาทำงานอย่างไรจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของเครื่องมือค้นหา ส่งผลให้เว็บไซต์มีอันดับที่สูงขึ้น ละเพิ่มอัตราการเข้าชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารบัญเนื้อหา
- ส่วนที่ 1 ความรู้พื้นฐานของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) ที่ควรทราบ
- ส่วนที่ 2 เครื่องมือค้นหาสามารถสร้างดัชนีได้อย่างไร
- ส่วนที่ 3 เครื่องมือค้นหาจัดอันดับหน้าเว็บไซต์ได้อย่างไร
- ส่วนที่ 4 เครื่องมือค้นหาปรับแต่งและแสดงผลลัพธ์ได้อย่างไร
ส่วนที่ 1 ความรู้พื้นฐานของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) ที่ควรทราบ
มาเริ่มที่ส่วนแรกกันเลยดีกว่า ซึ่งก่อนที่จะลงรายละเอียดเนื้อหาที่ลึกมากขึ้น แนะนำว่าทุกคนควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้และข้อมูลพื้นฐานของเครื่องมือค้นหาก่อน ดังนั้นหาพร้อมแล้วไปเรียนรู้ส่วนนี้กันเลย
เครื่องมือค้นหา (Search Engine) คืออะไร
ทำความเข้าใจกันง่าย ๆ เลยว่า เครื่องมือค้นหา ก็คือฐานข้อมูลที่สามารถค้นหาสิ่งต่าง ๆ ได้จากเนื้อหาภายในเว็บไซต์ที่ถูกรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนี โดยมีองค์ประกอบ 2 ส่วนหลัก ดังนี้
- ดัชนีการค้นหา (Search index) : เปรียบเสมือนกับห้องสมุดดิจิตอลที่ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์เอาไว้
- อัลกอริธึมการค้นหา (Search algorithm) : เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้รับมอบในการแสดงผลการค้นหาที่นำมาจากดัชนีค้นหาให้กับผู้ใช้งาน
จุดประสงค์หรือเป้าหมายของเครื่องมือค้นหาคืออะไร
เครื่องมือค้นหาทุก ๆ ประเภท มีเป้าหมายสูงสุดคือการแสดงผลลัพธ์ข้อมูลที่ตรงประเด็นและเกี่ยวข้องกับผู้ค้นหาหรือผู้ใช้งานต้องการมากที่สุด เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุดแก่ผู้ค้นหา โดยจะส่งผลถึงความนิยมของเครื่องมือค้นหาอีกด้วย
เครื่องมือค้นหาทำเงินได้อย่างไร
หลายคนอาจจะสงสัยว่าเครื่องมือค้นหาจะได้เงินจากส่วนไหนบ้าง ซึ่งเครื่องมือค้นหาจะแบ่งประเภทผลการค้นหาออกเป็นสองประเภท ดังนี้
- ผลลัพธ์ทั่วไปจากดัชนีการค้นหา ซึ่งผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้ข้อมูล
- ผลลัพธ์การค้นหาที่ต้องชำระเงินจากผู้ลงโฆษณา ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงแหล่งข้อมูลและผลลัพธ์ที่ต้องการ
เมื่อมีผู้คลิกผลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย ผู้ลงโฆษณาจะต้องจ่ายเงินให้กับเครื่องมือค้นหา สิ่งนี้เรียกว่าโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก หรือ pay-per-click (PPC) ดังนั้นหากเครื่องมือค้นหาใด ๆ ที่ได้รับความนิยมใช้งานก็จะมีรายได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ส่วนที่ 2 เครื่องมือค้นหาสามารถสร้างดัชนีได้อย่างไร
เครื่องมือค้นหาที่แตกต่างกัน เช่น Bing และ Google จะมีวิธีในการสร้างดัชนีการค้นหาที่แตกต่างกันไป ซึ่งรูปภาพด้านล่างนี้เป็นวิธีของ Google ที่ใช้งานในการสร้างดัชนี
ดังนั้นมาดูวิธีในแต่ละขั้นตอนกันเลยว่า Google มีวิธีการทำอย่างไรบ้าง
URLs —> Crawler —> Processing & rendering —> Index
การสร้างดัชนีจาก URLs
มาดูกันว่า Google จะค้นพบ URLs ต่าง ๆ ได้อย่างไรบ้าง
- จากลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) ซึ่ง Google จะมีการจัดทำดัชนีหน้าเว็บหลายแสนล้านหน้า หากมีผู้เชื่อมโยงลิงก์ไปยังหน้าใหม่ ๆ จากหน้าเว็บเดิมที่กูเกิ้ลรู้จัก ก็สามารถค้นพบได้จากหน้าเหล่านั้น
- จากแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ซึ่งสามารถบอกให้ Google ทราบได้ว่าหน้าและไฟล์ใดที่มีความสำคัญต่อเว็บไซต์
- จากการส่ง URL โดย Google จะอนุญาตให้เจ้าของเว็บไซต์ขอรวบรวมข้อมูล URL แต่ละรายการใน Google Search Console
การรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของ Google (Crawling)
ขั้นตอนนี้จะมีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Bot หรือ Spider เข้าไปเยี่ยมชมและดาวน์โหลด URL ที่รู้จัก ซึ่งทาง Google จะมีโปรแกรมที่ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะเรียกว่า Googlebot
การประมวลผลและการเรนเดอร์
สำหรับการประมวลผล คือ ส่วนที่ทาง Google จะทำความเข้าใจและดึงข้อมูลสำคัญต่าง ๆ จากหน้าที่ได้รวบรวมข้อมูลเอาไว้แล้วจากขั้นตอนที่ผ่านมา โดยการทำเช่นนี้จะต้องแสดงผลเพจ ซึ่งเป็นที่ที่เรียกใช้โค้ดของเพจเพื่อทำความเข้าใจว่าหน้านั้นมีลักษณะอย่างไรสำหรับผู้ใช้
แน่นอนว่าไม่มีใครนอกจาก Google ที่จะรู้ทุกรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการนี้ได้ แต่เมื่อเราเป็นเจ้าของเว็บไซต์ จะต้องทำการแยกลิงก์และจัดเก็บเนื้อหาสำหรับการจัดทำดัชนีเอาไว้
การจัดทำดัชนี (Indexing)
เมื่อผ่านกระบวนการรวบรวม และประมวลผลข้อมูลหน้าเว็บแล้ว หน้าเว็บเหล่านั้นจะถูกเพิ่มลงในการค้นหา ซึ่งดัชนีการค้นหา คือสิ่งที่จะทำให้ผู้ใช้งานบนเครื่องมือค้นหา (Search Engine) สามารถพบข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของเราได้นั้นเอง โดยหน้าที่ไม่ได้จัดทำดัชนีจะไม่ปรากฏข้อมูลผลการค้นหาให้กับผู้ใช้งาน
คุณรู้หรือไม่ว่า……Google เป็นเจ้าของตลาดเครื่องมือค้นหาที่ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 91.43% ซึ่งแปลว่าเป็นเครื่องมือค้นหาที่ได้รับความนิยมมาก ๆ สามารถเพิ่มอัตราการเข้าชมให้กับเว็บไซต์ได้มากกว่าเครื่องค้นหาอืน ๆ
ส่วนที่ 3 เครื่องมือค้นหาจัดอันดับหน้าเว็บไซต์ได้อย่างไร
การค้นพบ การรวบรวมข้อมูล และการจัดทำดัชนีเนื้อหา เป็นเพียงขั้นตอนเริ่มต้นที่เครื่องมือค้นหาทำเท่านั้น ซึ่งยังมีวิธีอื่น ๆ ที่ใช้จัดอันดับผลลัพธ์แสดงผลให้กับผู้ค้นหา โดยเป็นการทำงานของอัลกอริธึมนั่นเอง
อัลกอริธึมการค้นหาคืออะไร
อธิบายได้ง่าย ๆ ว่า คือ สูตรที่ใช้จับคู่และจัดอันดับผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องจากดัชนีของ Google ซึ่งใช้ปัจจัยหลากหลายในการประมวลผล
ปัจจัยการจัดอันดับที่สำคัญของ Google
จริง ๆ แล้ว ไม่ได้มีการเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็สามารถคาดเดาได้ว่า Google ให้ความสำคัญกับอะไรบ้างในเว็บไวต์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการจัดอันดับ
ลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks)
ลิงก์ย้อนกลับใช้ในการเชื่อมโยงจากหน้าหนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการจัดอันดับของ Google
แต่อย่างไรก็ตามหากเน้นแต่ปริมาณของลิงก์ย้อนกลับอาจไม่ได้ผล สิ่งสำคัญคือคุณภาพของเว็บไซต์ที่มีการเชื่อมโยงลิงก์ ซึ่งหากมีลิงก์ย้อนกลับจากแหล่งที่น่าเชื่อถือจะทำให้เว็บไซต์มีอันดับสูงขึ้นได้
คุณรู้หรือไม่ว่า……เราสามารถตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับได้โดยใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Ahrefs Webmaster Tools เพียงวางโดเมนเว็บไซต์ลงใน Site Explorer และไปที่ Backlinks report
จากนั้นคุณจะเห็นข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับลิงก์ย้อนกลับได้ที่นี่
ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา
ระบบจะค้นหาหน้าเว็บที่มีคีย์เวิร์ดหลักเดียวกันกับคำค้นหา นอกจากนี้ยังดูข้อมูลการโต้ตอบเพื่อตรวจเช็คว่าผู้อื่นหรือผู้ค้นหาคิดอย่างไรกับผลลัพธ์ที่ได้ว่ามีประโยชน์หรือไม่
ความสดใหม่ของเนื้อหา
เนื้อหาใหม่ ๆ หรือเนื้อหาเดิมที่มีการรีไรท์ใหม่ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้จะอัพเดตตามเทรนด์ของผู้ค้นหา จึงตรงกับผลลัพธ์การค้นหาที่พวกเขาต้องการทราบนั่นเอง
ความเร็วหน้าเว็บไซต์
ความเร็วหน้าเว็บ หรือ Page speed เป็นปัจจัยการจัดอันดับสำคัญสำหรับการใช้งานทั้งบนเดสก์ท็อป และอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น สมาร์ทโฟน
คุณรู้หรือไม่ว่า……เราสามารถตรวจสอบความเร็วหน้าเว็บไซต์ได้โดยใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Ahrefs Webmaster Tools จากนั้นรวบรวมข้อมูลด้วย Ahrefs’ Site Audit และไปที่ Performance report ซึ่งจะปรากฏข้อมูลต่าง ๆ และถ้าเห็นสีแดงน้อยเท่าไหร่นั้นแปลว่าดีแล้ว
การแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
การแสดงผลเว็บไซต์บนสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่อื่น ๆ เรียกว่า Mobile-friendly เป็นปัจจัยการจัดอันดับที่แข็งแกร่งมากตั้งแต่ปี 2019 เนื่องจากว่าผู้คนปัจจุบันนิยมใช้สมาร์ทโฟนในการค้นหา และท่องข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์
ส่วนที่ 4 เครื่องมือค้นหาปรับแต่งและแสดงผลลัพธ์ได้อย่างไร
Google ปรับแต่งผลการค้นหาให้เหมาะสำหรับผู้ใช้งาน ซึ่งจะใช้ข้อมูล เช่น ตำแหน่งที่ตั้ง ภาษา และประวัติการค้นหาของคุณ ในการประเมินว่าควรแสดงผลลัพธ์แบบไหนให้กับคุณนั่นเอง
ตำแหน่งที่ตั้ง
เครื่องมือค้นหาจะใช้ตำแหน่งหรือพิกัดของคุณ ในการปรับแต่งผลลัพธ์การค้นหาให้ตามจุดประสงค์ของผุ้ใช้งาน เช่น หากกำลังหา “ร้านอาหารอิตาเลียน” ซึ่งพิกัดของคุณอยู่จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย ทาง Google จะแสดงข้อมูลร้านอาหารอิตาเลียนที่มีในพื้นที่นั้น ๆ ให้กับคุณนั่นเอง
ภาษา
สำหรับปัจจัยทางด้านภาษา ทาง Google จะแสดงผลลัพธ์เวอร์ชันภาษาที่เหมาะสมให้กับผู้ค้นหา เช่น หน้าเว็บไซต์เวอร์ชันต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ แต่ผู้ค้นหากำลังใช้ภาษาสเปน ดังนั้นกูเกิ้ลจะแสดงหน้าเว็บไซต์เวอร์ชันแปลที่เป็นภาษาสเปนให้กับผู้ค้นหา (แต่อย่างไรก็ตามหน้าเว็บไซต์ทุกหน้าไม่ได้มีการกำหนดการแปลภาษาเอาไว้)
ประวัติการค้นหา
เครืองมือค้นหา เช่น Google จะบันทึกการค้นหา รวมทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำบนโลกอินเทอร์เน็ต และสถานที่ที่คุณไปเพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การค้นหาที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น
สรุป
เครื่องมือค้นหา หรือ Search Engine ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ได้แก่ ดัชนี และอัลกอริธึม โดยการสร้างดัชนีจะทำการรวบรวมข้อมูลหน้าเว็บไซต์ และติดตามลิงก์เพื่อค้นหาหน้าเว็บใหม่ ๆ ส่วนการทำงานของอัลกอริธึมจุดมุ่งหมายคือการให้ผลลัพธ์การค้นหาที่ดีที่สุด และเกี่ยวข้องมากที่สุดต่อจุดประสงค์ของผู้ใช้งาน ดังนั้นหากเครื่องมือการค้นหาใด ๆ ที่ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุดสำหรับผู้ค้นหา ก็จะได้รับความนิยม เช่น Google ที่มีสัดส่วนการแบ่งตลาดที่มากสุดเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ
นอกจากนั้นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์มีหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นลิงก์ย้อนกลับ ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา และความสดใหม่ของเนื้อหา โดยทาง Google จะปรับแต่งผลลัพธ์ตามตำแหน่งที่ตั้ง ภาษา และประวัติการค้นหาของผู้ใช้งานนั่นเอง