how to know and find who make backlink to my website

บอกเล่า How to รู้ได้อย่างไร ว่าใครทำ Backlink มายังเว็บไซต์ของเราบ้าง และควรทำอย่างไรต่อไป

Backlinks จัดว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการจัดอันดับ แล้วอยากรู้หรือไม่ ? ว่าใครลิงก์กลับมายังหน้าเว็บของเรา หรือคู่แข่งบ้าง ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ ที่ได้ผลสรุปจากการศึกษาเว็บไซต์มากกว่าพันล้านหน้า เพื่อหาความสัมพันธ์ว่า Backlinks ส่งผลต่อจำนวนการเยี่ยมชมอย่างไร

โดยทั่วไปแล้ว หากหน้าเว็บไหนมี Backlinks จากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกันมาก จะยิ่งส่งผลดีต่อการค้นหา ซึ่งบทความนี้จะมาพูดถึงวิธีการสำรวจว่าใครลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเราบ้าง มีการลิงก์ไปหน้าไหน รวมถึงสิ่งที่ควรทำต่อไปเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของ SEO ตามหัวข้อดังต่อไปนี้

มีอยู่ทั้งหมด 2 วิธีด้วยกัน ในการค้นหาว่าใครลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา แต่หากต้องการดูการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ สามารถกดที่นี่เพื่อไปยังวิธีที่สองได้เลย

1. Google Search Console

หนึ่งเครื่องมือของ Google ที่เป็นจุดเริ่มต้นของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากเปิดให้ใช้งานฟรี หากยังไม่มีบัญชี สามารถกดที่นี่เพื่อสมัครได้เลย หลังจากเข้าใช้งานได้แล้วให้ไปที่ Search Console > choose your property > Links > External links > Top linking sites ตามลำดับ

จะเห็นเป็นรายงานผลเว็บไซต์ 1,000 อันดับแรกที่มีการลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา พร้อมบอกรายละเอียด

  • Linking pages หรือจำนวนเพจของเว็บไซต์นั้นที่ลิงก์กลับมายังเว็บของเรา
  • Target pages หรือจำนวนหน้าเว็บของเราที่มีการลิงก์ไป

หมายเหตุ : ปกติค่าเริ่มต้นจะจัดเรียงตาม Linking pages แต่ก็สามารถปรับให้จัดเรียงตาม Target pages ได้

สามารถคลิกเลือกที่รายการไหนก็ได้ เพื่อดูหน้าเว็บแต่ละอันที่มีการลิงก์ไป รวมถึงจำนวนครั้ง

คลิกเลือกที่อันไหนก็ได้ เพื่อดูหน้าอ้างอิงที่เว็บไซต์เป้าหมายมีการลิงก์ไป

นอกจากนี้ยังมีผลรายงานอื่นใน Google Search Console ที่แสดงหน้าที่ถูกลิงก์มากที่สุดของเราด้วย โดยไปที่ Search Console > choose your property > Links > External links > Top linked pages ตามลำดับได้เลย

พื้นฐานแล้วรีพอร์ตนี้จะจัดเรียงตาม Incoming links ที่แสดงให้เห็นว่าหน้าใดมีจำนวน Backlinks มากที่สุด แต่หากเปลี่ยนเป็นจัดเรียงตาม Linking sites จะสามารถดูผลลัพธ์ได้ว่าหน้าไหนได้รับการลิงก์จากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำใครมากที่สุด

ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างลึกซึ้ง โดยสามารถคลิกเลือกหน้าเว็บใดก็ได้จากรายการ เพื่อดูเว็บไซต์ที่มีลิงก์อันดับต้น ๆ ไปยังหน้าดังกล่าว รวมถึงจำนวน Backlinks จากแต่ละหน้าด้วย

หลังจากนั้นคลิกไปที่ Linking sites อันไหนก็ได้เพื่อดูหน้าเพจที่เชื่อมโยงทั้งหมด

สามารถดาวน์โหลด และจัดเก็บรีพอร์ตได้ เพียงกดที่ปุ่มดาวน์โหลดเท่านั้น

ต่อไปจะมาพูดถึงข้อเสียของการดูข้อมูลจาก Google Search Console กันบ้าง

  • ผลลัพธ์ที่แสดงทั้งหมดถูกจำกัดไว้ที่ 1,000 หน้าแรกเท่านั้น ซึ่งจะค่อนข้างไร้ประโยชน์ ในกรณีที่เรามีเว็บไซต์มากกว่า 1,000 หน้า หรือมีลิงก์จากโดเมนที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 1,000 โดเมน
  • ไม่มีฟังก์ชันดูลิงก์ ทำให้ไม่สามารถดู Anchor Text ของลิงก์ใดลิงก์หนึ่ง ข้อความรอบ ๆ หรืออื่น ๆ ได้เลย
  • ไม่มีตัวชี้วัดคุณภาพ เมื่อ Google บอกว่าเป็น “Top Linking Sites” นั่นไม่ได้หมายความถึงคุณภาพของเว็บไซต์ดังกล่าว แต่จะหมายถึงจำนวนครั้งที่มีการลิงก์กลับมายังหน้าเว็บของเราเท่านั้น ซึ่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเว็บไซต์ที่ลิงก์มานั้นดี หรือไม่ดี รวมถึงมีประโยชน์ หรือโทษต่อการทำ SEO

ดังนั้นเพื่อที่จะเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้น จึงต้องมีการปรับใช้เครื่องมืออื่นควบคู่ไปด้วย

2. Ahref Site Explorer

Ahrefs จัดว่าเป็นเครื่องมือที่มีดัชนีตัวชี้วัด Backlinks แบบเรียลไทม์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการอัปเดตข้อมูลใหม่ทุก 15 – 30 นาที โดยใช้โรบอตรวบรวมข้อมูลไปกลับจากเว็บไซต์ทั้งหมด

มาเริ่มเชื่อมต่อเว็บไซต์ โฟลเดอร์ย่อย หรือหน้าเว็บใด ๆ ลงใน Ahrefs กันเลย เพื่อดูว่ามี Backlinks หรือโดเมนอ้างอิง (ลิงก์จากหน้าเว็บที่ไม่ซ้ำกัน) อยู่เท่าไหร่ โดยกดไปที่ Site Explorer > enter website, web page or subfolder > select mode > Overview ตามลำดับ

จากรูปจะเห็นว่า หน้าเว็บ Nerdwallet หรือเว็บไซต์เกี่ยวกับการจัดการงบประมาณ มีจำนวน Backlinks กว่า 1,910 อัน ซึ่งมีจำนวนกว่า 558 มาจากหน้าเว็บที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งแสดงให้เห็นแนวคิดสำคัญ นั่นคือ การใช้ Ahrefs ไม่ได้จำกัดให้เราสามารถค้นหาแค่หน้าเว็บของตัวเองใน Site Explorer ได้เท่านั้น โดยเคสนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ถึงแม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย แต่ก็ยังสามารถดูข้อมูลเหล่านี้ได้ หากต้องการดูทุกเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงไปยังเป้าหมายที่เลือก สามารถไปที่ดูรายงานผลที่ฟังก์ชัน Referring domains ได้เลย

ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนกับการดูบน Top Linking Sites จาก Google Search Console ที่แสดงให้เห็นเว็บไซต์ที่เชื่อมโยง รวมถึงจำนวน Backlinks ในแต่ละอัน แต่บน Ahrefs ดีกว่าตรงที่สามารถแสดงตัวชี้วัด SEO ด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ด้วย เช่น

  • Damain Rating หรือ DR (คะแนนของเว็บไซต์ที่บ่งบอกความน่าเชื่อถือ ซึ่งได้มาจากเว็บไซต์อื่นที่ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา)
  • Nofollowed vs. “dofollowed” links หรือ Backlinks ที่ได้ประโยชน์ด้าน SEO
  • ยอดเข้าชมออร์แกนิกไปยังแต่ละโดเมนที่เชื่อมโยง
  • First Seen

หากต้องการดู Backlinks จริงจากเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงแต่ละแห่ง สามารถทำได้โดยกดที่เครื่องหมายรูปหมวก

และหากต้องการแสดงรายการ Backlinks ทั้งหมด จากหน้าเว็บที่ลิงก์ ให้ไปที่ Site Explorer > Backlinks

Backlinks แต่ละอันที่อยู่ในรีพอร์ตนี้ จะแสดงหน้าที่เชื่อมโยง ข้อความลิงก์ที่อยู่โดยรอบ รวมถึง URL ของเป้าหมาย และตัวชี้วัด SEO ที่มีประโยชน์อีกมากมาย

ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว รีพอร์ตมักจะรวมกลุ่ม Backlinks ที่คล้ายกันมาอยู่ด้วยกัน ดังนั้นจึงเห็นแค่ Backlinks ที่ไม่ซ้ำกันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สามารถตั้งค่าเพื่อแสดง Backlinks ทั้งหมดได้ หรือจะแสดงเพียงลิงก์เดียวต่อโดเมนก็ได้

สิ่งที่ควรทำต่อไป

ความจริงคือ การรู้ว่าใครลิงก์กลับมาเว็บไซต์ของเรานั้น ไม่ได้มีประโยชน์ หรือให้ข้อมูลเชิงลึกที่มากนัก ซึ่งคล้ายกับการดูเพื่อนใน Facebook ที่จะเห็นรายชื่อนับร้อย หรือพันคน แต่ก็ไม่ได้มีการจำแนกอย่างแน่ชัดเลยว่าคนไหนเป็นเพื่อนแท้ เพื่อแยกจากเพื่อนที่แทบไม่เคยเจอกันเลยในชีวิตจริง

หากต้องการรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ว่า :

  • ลิงก์มีความสำคัญต่อการทำ SEO หรือไม่
  • อยากทราบว่ามีลิงก์อยู่ทั้งหมดกี่ลิงก์ และมาจากใคร
  • ต้องการลิงก์เพิ่มเพื่อบูสต์ประสิทธิภาพเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา เพื่อให้ได้ยอดเข้าชมที่มากขึ้น

สามารถตามดูวิธีดำเนินการประมาณ 2 – 3 วิธีในการใช้ข้อมูลจากลิงก์ เพื่อพัฒนาการทำ SEO และเพิ่มจำนวนการเยี่ยมชมให้แก่เว็บไซต์กันได้เลย

สร้าง และรักษาความสัมพันธ์กับตัวเชื่อมโยงแบบอนุกรม

ผู้ที่ลิงก์มายังเว็บไซต์ของเราครั้งแล้วครั้งเล่า จะถูกเรียกว่า serial linkers หรือผู้เชื่อมโยงแบบอนุกรม

คนเหล่านี้คือกลุ่มที่เรามีความสัมพันธ์อันดีด้วยอยู่แล้ว และสามารถดูได้ว่าพวกเขาเป็นใครผ่าน Google Search Console เพียงแค่ไปที่หน้ารีพอร์ต Top Linking Sites แล้วจัดเรียง Target pages จากมากไปน้อย

แต่ให้ละเว้นเว็บไซต์ที่เป็นเครือข่ายโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ Linkedin รวมถึงฟอรั่มต่าง ๆ เช่น Reddit และเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีแนวโน้มมาจากเนื้อหาที่ผู้ใช้งานสร้างขึ้น

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเทคนิคที่ดีในการรักษาความสัมพันธ์ กับผู้ที่อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์เหล่านี้ เนื่องจากพวกเขามีแนวโน้มที่จะเชื่อมโยงเว็บไซต์ของเราอีกในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่สามารถนำไปใช้ได้จริง แถมเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแนวคิดด้านบนได้อีกด้วย คือ

ลองค้นหา serial linkers ของคู่แข่ง และสร้างความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นด้วย ซึ่งสามารถทำได้โดยการเข้าไปที่ Site Explorer ของ Ahrefs วางลิงก์โดเมนของคู่แข่งลงไป แล้วไปที่รายงานผลของ Referring domians ตามขั้นตอนดังนี้ Site Explorer > enter competing domain > Referring domains > add “dofollow” filter > sort by number of dofollow links to target (high to low)

ลองมองหาลิงก์จากเว็บไซต์ที่พอรู้จัก หรือเว็บอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ แล้วกดไปที่เครื่องหมายรูปหมวกเพื่อดู Backlinks ของแต่ละเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม

หลังจากนั้นให้ค้นหาในรายการโดเมนอ้างอิงสำหรับเว็บไซต์ของเรา เพื่อดูว่าเว็บนั้นเชื่อมโยงกับเราแล้วหรือยัง หากยังไม่เคยได้รับลิงก์จากเว็บนั้น หรือเคยได้รับการลิงก์เพียงเล็กน้อย 1 ถึง 2 ครั้ง ก็อาจจะคุ้มค่าในการสานสัมพันธ์กับเว็บไซต์เหล่านั้นดู

เคล็ดลับเพิ่มเติม

ผู้คนมักส่งลิงก์กลับไปหาเว็บไซต์ของคนที่ตัวเองรู้จัก หรือบุคคลที่ชื่นชอบ ดังนั้นให้รักษาความสัมพันธ์กับ serial linkers ของตัวเอง และคู่แข่งเอาไว้ให้ดี

เรียนรู้จากเนื้อหาที่ได้รับการเชื่อมโยง หรือลิงก์มากที่สุด

การสร้างลิงก์จะทำงานได้ดี ก็ต่อเมื่อเรามีเนื้อหาที่ผู้คนต้องการลิงก์กลับมา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลแบบ infographic จะได้รับลิงก์มากกว่าโพสต์บล็อก ผลการศึกษา หรือเนื้อหาแบบอื่นเสมอไป เนื่องจากความสนใจเฉพาะกลุ่มย่อมสนับสนุนเนื้อหาที่แตกต่างกันออกไป

จุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจว่าอะไรใช้ได้ผล หรือไม่ได้ผลกับกลุ่มเป้าหมายของเรา คือการค้นหาจุดที่เหมือนกันระหว่างหน้าเว็บที่ได้รับลิงก์มากที่สุด

โดยไปที่ Search Console > select property > Top linked pages > sort by Linking sites

จะเห็นว่าถ้าอ้างอิงจาก บล็อกของ Ahrefs เห็นได้ชัดเลยว่าข้อมูลเป็นผลการศึกษาสามารถดึงดูดลิงก์ได้จำนวนมาก

ดังนั้นจึงควรทำเนื้อหาออกมาในรูปแบบการศึกษาวิจัยต่อไป และนี่ก็เป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์อย่างแน่นอน และจะยิ่งดีขึ้นไปอีกหากสามารถทำแบบเดียวกันกับเว็บไซต์ของคู่แข่งได้ด้วย

ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ใน Google Search Console แต่ใช้ได้ในฟังก์ชัน Site Explorer ของ Ahrefs โดยไปที่ Site Explorer > ใส่โดเมนของคู่แข่ง > Best by Links > เพิ่มฟิลเตอร์ “200 ok” เข้าไป

หากลองดูผลรายงานของเว็บไซต์ nerdwallet.com จะเห็นว่าเนื้อหาประเภทคำนวณ และสถิติได้รับลิงก์มากที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูผลรายงานสำหรับหน้าเว็บเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี อย่าง 9to5mac.com จะเห็นว่าข่าวหลุด หรือรายงานพิเศษเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Apple ที่กำลังมา คือสิ่งที่ดึงดูดลิงก์ได้ดี

ข้อแนะนำ

เมื่อเรียนรู้ว่าเนื้อหาประเภทใดที่ดึงดูดลิงก์ได้ดี ก็ควรทำต่อไป และทำออกมามากยิ่งขึ้น

เรียกคืนลิงก์ที่ลิงก์ที่เคยทำไปแล้ว

เคยกดโดนลิงก์ที่พังไปแล้วบ้างหรือเปล่า ? ซึ่งจะเหมือนกับสิ่งที่อยู่ด้านล่างนี้

ซึ่งลิงก์ที่พังแล้วไม่เพียงกระทบต่อประสบการณ์ใช้งาน แต่ยังส่งผลเสียต่อ SEO ด้วย

เนื่องจาก Backlinks คือสิ่งที่เสริมประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ ซึ่งบางส่วนก็ไปอยู่ในหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ของเราผ่าน Internal links

นอกจากนี้หน้าเว็บที่เสียหายยังขัดขวางประสิทธิภาพเว็บในเครื่องมือค้นหา หากพบเห็นจึงควรแก้ไขโดยเร็วที่สุด

ใน Google Search Console ส่วนของ Coverage จะแจ้งเตือนเกี่ยวกับหน้าที่มีการเสียหาย โดยสามารถกดไปที่ Search Console > Coverage > Errors tab ได้เลย

ลองดูตัวอย่างข้อผิดพลาด 4XX เหมือนภาพด้านบน โดยสามารถกดบนรายการ error เพื่อดูว่ามีหน้าเว็บไหนที่ได้รับผลกระทบบ้าง

แต่ค่อนข้างโชคร้ายตรงที่รีพอร์ตใน Search Console ไม่ได้บอกด้วยว่าหน้าที่ได้รับผลกระทบมี Backlinks อยู่หรือไม่ และหากต้องการตรวจสอบ จะต้องไปที่ฟังก์ชัน Top Linked Pages และฟิลเตอร์หาหน้าเว็บที่เสียหายเอาเท่านั้น

Search Console > Links > External > Top linked pages > filter > Target page contains > broken URL

อย่างไรก็ตาม จะสามารถรับคำตอบจากวิธีนี้ได้ก็ต่อเมื่อประกอบไปด้วย 2 ปัจจัยเหล่านี้

  • หน้าเว็บที่เสียหายต้องอยู่ใน 1,000 อันดับแรกของหน้าเว็บที่มีการลิงก์เยอะที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
  • ในหน้าเว็บนั้นต้องมี Backlinks อย่างน้อย 1 อัน

ยิ่งไปกว่านั้น การปรับแก้ยังต้องทำเองไปทีละหน้า แต่หากต้องการลดขั้นตอนความยุ่งยากก็สามารถลองใช้ เครื่องมือตรวจสอบลิงก์เสียฟรีที่ลิงก์นี้ หรือจะใช้ฟังก์ชัน Best by Links ใน Ahrefs ก็ได้ โดยมีวิธีการกดตามลำดับดังนี้ Site Explorer > ใส่โดเมน หรือโฟลเดอร์ย่อยลงไป > Best by Links > เพิ่มตัวกรอง “404 not found”

ซึ่งจะแสดงผลลัพธ์หน้าเสียบนเว็บไซต์ของเราที่มีจำนวนการลิงก์มากที่สุด ลองกดไปที่เครื่องหมายรูปหมวกด้านข้าง และกดเลือก Backlinks เพื่อดูลิงก์ที่เสียหายทั้งหมดได้เลย

โดยมีวิธีการแก้ไขอยู่ 3 แบบหลัก ๆ ได้แก่

  • คืนสถานะให้หน้าเว็บที่ไม่ทำงาน
  • เปลี่ยนเส้นทางจากเว็บที่เสียหาย ไปยังเว็บเกี่ยวข้องที่ยังใช้งานได้
  • ขอให้ผู้เชื่อมโยง หรือ Linkers ย้ายไปลิงก์กับหน้าเว็บที่ใช้งานได้แทน

นอกจากนี้ ยังสามารถละทิ้งหน้าเว็บให้เป็น soft 404 ต่อไปได้ หากพิจารณาแล้วว่าเว็บนั้นไม่มีการทำ Backlinks ที่มีคุณภาพ

จำลองลิงก์ของคู่แข่ง

ไม่มีเว็บไซต์ หรือเพจไหนที่มีโปรไฟล์ลิงก์เหมือนกันสองแห่ง เราอาจมี Backlinks ที่คู่แข่งยังไม่มี แต่จำไว้ว่าคู่แข่งเองก็อาจมีลิงก์ที่เราไม่มีเช่นเดียวกัน ดังนั้น หากต้องการจำนวน Backlink ที่มากขึ้น ให้เริ่มต้นจากการจำลองลิงก์คู่แข่งของตัวเอง

ลิงก์ เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย และอาจมีกระบวนการที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยจะมีอยู่ 2 วิธีที่ง่ายสำหรับการเริ่มจำลองลิงก์ของคู่แข่ง อย่างแรกคือการ แก้ไขลิงก์ที่เสียหาย

ซึ่งกระบวนการนั้นง่ายมาก เพียงทำแบบเดียวกันกับที่พูดถึงในข้อที่ 3 ด้านบน แต่ให้ดัดแปลงมาใช้กับเว็บของคู่แข่งแทน โดยให้ไปที่ Site Explorer > ใส่โดเมนของคู่แข่ง > Best by Links > เพิ่มฟิลเตอร์ หรือตัวกรอง “404 not found”

หากลองทำกับคู่แข่งของเว็บ Ahrefs อย่าง Backlinko ก็ดูเหมือนว่าหน้าเว็บแรกที่อยู่ในรายการ จะเคยเป็นหน้าเว็บที่ถูก Google สั่งระงับ หรือลงโทษมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่มีอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ เราจึงสามารถติดต่อไปหาเว็บไซต์ทั้ง 29 แห่งที่เคยลิงก์ไปยังเว็บที่เสียหายของ Backlinko และแนะนำให้พวกเขาเปลี่ยนมาใช้งาน หรือลิงก์กับเว็บของเราแทนได้

ซึ่งหากเว็บไซต์ของเรายังไม่มีเนื้อหาที่ตอบโจทย์ในหัวข้อนั้น ๆ ก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้

วิธีการที่ 2 ในการจำลองลิงก์คู่แข่งง่ายยิ่งกว่าอันแรกเสียอีก คือการค้นหารายการ Backlinks ใน Site Explorer ของ Ahrefs เพื่อหาเว็บที่มีการทำ Guest Blogging หรือ Guest Post ของคู่แข่ง โดยไปที่ Site Explorer > ใส่ลิงก์โดเมนคู่แข่ง > เพิ่มฟิลเตอร์ “dofollow”  > ค้นหา “/author/” in referring page URLs ตามลำดับ

หลังจากนั้นมองหา Backlinks ที่ URL มีลักษณะคล้ายกับ /author/blogger-name/ เพราะปกติแล้วสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นจะเป็นโปรไฟล์ของผู้เขียนนั่นเอง

เข้าถึง และนำเสนอเนื้อหาของเราไปยังเว็บไซต์เหล่านี้บ้าง เพราะมีแนวโน้มที่พวกเขาจะตกลงสูงมาก เนื่องจาก

  • นักเขียน หรือเว็บไซต์มีการลง หรือให้เช่าพื้นที่สำหรับ Guest Post อยู่แล้ว 
  • มีการลงเนื้อหาที่คล้ายกับธุรกิจของเราไปแล้วครั้งหนึ่ง

ข้อแนะนำ

ค้นหาเว็บไซต์ที่มีการลง Guest Post ของคู่แข่ง แล้วทำการเขียนเนื้อหาเพื่อนำไปลงบ้าง นอกจากนี้ยังสามารถหาหน้าเว็บของคู่แข่งที่เสียหาย แต่ยังคงมี Backlinks แล้วทำการติดต่อไปหาคนเหล่านั้น เพื่อให้ย้ายมาลิงก์กับเว็บไซต์ของเราแทน

แสดงเนื้อหาของเราต่อผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเชื่อมโยง

เมื่อสำรวจ Backlinks ของหน้าเว็บต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จะเริ่มเห็นจุดที่มีความคล้ายคลึงกัน ยกตัวอย่าง Backlinks ของหน้าเว็บที่ทำเนื้อหาเกี่ยวกับคู่มือการทำ Keyword Research ของ Ahrefs โดยไปที่ Site Explorer > enter URL > Backlinks

ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่ถึงสามสิบวินาทีในการดู และสังเกตเห็นว่า มีการได้รับลิงก์บางส่วนจากหน้าเว็บที่เขียนเนื้อหาเกี่ยวกับ คู่มือ Content Marketing ด้วย แล้วถ้าหากลองค้นหา Backlinks ด้วยคีย์เวิร์ดว่า “Content Marketing” ก็จะปรากฏ URL ของหน้าอ้างอิงขึ้นมา โดยมีอยู่ทั้งหมด 14 รายการนั่นเอง

ต่อไปนี้แหละ คือจุดสำคัญ

ลองคิดดูว่ามีเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ Content Marketing อีกเท่าไหร่ที่ยังไม่มีการทำ Backlinks กลับมา ซึ่งสามารถสำรวจได้ใน Content Explorer ที่เป็นตัวช่วยสำรวจ และค้นหาฐานข้อมูลจากเว็บไซต์พันล้านกว่าเว็บ สำหรับคีย์เวิร์ด หรือคำที่ต้องการ

ลองค้นหาหน้าเว็บภาษาอังกฤษที่มีคำว่า “Content Maketing” กันดู

มีผลลัพธ์มากกว่า 52,000 รายการ

แล้วถ้าอยากเพิ่มฟิลเตอร์ตัวกรองให้แคบกว่ายิ่งกว่านี้ โดยต้องการเว็บไซต์ที่ภายในเนื้อหามีการกล่าวถึง “Keyword Research” ด้วย

ผลลัพธ์ทั้งหมดที่ได้คือ 1,028 เว็บไซต์

ซึ่งหากลองติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์เหล่านี้ และแสดงเนื้อหาที่มีคุณภาพของเราให้พวกเขาดู ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่คนเหล่านี้จะอยากลองเชื่อมต่อ Backlinks กลับมานั่นเอง

ข้อแนะนำ

มองหาจุดที่คล้ายคลึงกันใน Backlinks ที่มีอยู่แล้ว เพื่อค้นหาเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีแนวโน้มจะเป็น Linkers ให้กับเว็บของเรา แล้วทำการเสนอเนื้อหาให้พวกเขาดู เพื่อประกอบการตัดสินใจ

เทคนิคพิเศษเพิ่มเติม

Backlinks มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดอันดับ และจำนวนการเยี่ยมชมเว็บไซต์

อย่างไรก็ตาม หากเราทำเนื้อหาออกมาภายหลังคู่แข่ง ก็อาจจำเป็นต้องใช้ Backlinks จำนวนมาก เช่นสิบ หรือพันเว็บไซต์ที่ต่างกัน เพื่อให้มีโอกาสติดอันดับเลยก็ว่าได้

มาดูตัวอย่างที่คีย์เวิร์ด “best credit cards” หรือเครดิตการ์ดที่ดีที่สุดกัน

จากผลลัพธ์จะเห็นว่า คงไม่มีเว็บไซต์ไหนสามารถมาแทนที่ 5 อันดับแรกได้ หากมีจำนวน Backlinks จากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกัน ต่ำกว่า 100 – 200 แห่ง

ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงอาจจะเหมาะสมกว่าในการเลือกใช้หัวข้อ หรือคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันน้อย ซึ่งจะช่วยให้มีโอกาสติดอันดับดี ๆ ได้มากกว่า โดยที่ไม่จำเป็นต้องมี Backlinks จำนวนมากเป็นร้อย หรือพันอัน

ซึ่งมีหลากหลายวิธีสำหรับการค้นหาหัวข้อเพื่อนำมาปรับใช้

โดยสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดจาก Keyword Explorer บน Ahrefs แล้วทำการฟิลเตอร์ดูเฉพาะคีย์เวิร์ดที่มีค่า Keyword Difficulty ต่ำได้

เริ่มจากเข้าไปที่ Keywords Explorer > enter seed keyword > choose a report > filter for KD < 10 ตามลำดับ

ทำไมถึงต้องดูค่า Keyword Difficulty ?

ค่าความยากของคำหลัก (KD) หรือ Keyword Difficulty คือตัวชี้วัดระดับ “ความยาก” ในการจัดอันดับคำหลักจาก 100 คะแนน ซึ่งหลัก ๆ มาจากการพิจารณาจำนวน Backlinks ที่มีการลิงก์กลับไปยังหน้าเว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงอยู่ในปัจจุบัน

ยกตัวอย่าง หากเว็บไซต์ติดอันดับในปัจจุบันสำหรับคีย์เวิร์ดสมมุติเป็นดังนี้

Page #1 มี Backlinks จำนวน 365 แห่งจากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกัน

Page #2 มี Backlinks จำนวน 213 แห่งจากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกัน

Page #3 มี Backlinks  จำนวน 199 แห่งจากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกัน

เมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้ แน่นอนว่าคีย์เวิร์ดสมมุติคำนี้ ย่อมมีค่า KD ที่สูงกว่าคำหลักที่มีหน้าเว็บติดอันดับเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน

Page #1 มี Backlinks จำนวน 21 แห่งจากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกัน

Page #2 มี Backlinks จำนวน 13 แห่งจากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกัน

Page #3 มี Backlinks  จำนวน 2 แห่งจากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกัน

เหตุผลที่เราต้องมองหาคีย์เวิร์ดที่มีค่า KD ต่ำ เนื่องจากเราต้องการจำนวน Backlinks ที่น้อยในเว็บอื่น เพื่อติดอันดับนั่นเอง

นอกจากนี้ยังสามารถค้นหาคำ หรือวลีที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อบนเว็บไซต์ของเรา ใน Content Explorer ได้ แล้วใส่ฟิลเตอร์กรองเฉพาะหน้าเว็บที่มีการเยี่ยมชมแบบทั่วไป หรือ Organic ที่ค่อนข้างโอเค แต่ยังมีลิงก์อ้างอิงที่น้อย

โดยสามารถกดไปที่ Content Explorer > ใส่คำค้นหา > เลือกฟิลเตอร์ที่น้อยกว่า 5 RDs > ฟิลเตอร์ยอดเข้าชมเว็บไซต์แบบ organic มากกว่า 500 ครั้งต่อเดือน ตามลำดับ

ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเว็บไซต์ที่มียอดการเยี่ยมชมธรรมชาติที่ดี แต่ยังมีจำนวนลิงก์น้อย หรือเรียกอีกแบบว่า เป็นหัวข้อที่มีการแข่งขันน้อย นั่นเอง

จากนั้นกดไปที่เครื่องหมายรูปหมวก แล้วไปที่แท็บ Organic Keywords เพื่อดูคีย์เวิร์ดในแต่ละหน้าที่มีการจัดอันดับ

ข้อแนะนำ

ให้ค้นหา และกำหนดหัวข้อ หรือคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันน้อย หรือไม่มีการแข่งขัน มากกว่าคำที่มีการแข่งขันสูง

สรุป

การค้นหา และตรวจสอบว่าเว็บไซต์ไหนมีการลิงก์กลับมาหาเราบ้าง คือจุดเริ่มต้นที่มีประโยชน์ต่อการทำ SEO แต่การรู้เพียงผิวเผินอาจไม่ช่วยให้ประสิทธิภาพหน้าเว็บดีขึ้น สิ่งสำคัญ คือการทำความเข้าใจว่าควรเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างไร และยิ่งไปกว่านั้น คือการเรียนรู้จากเว็บไซต์ที่ติดอันดับ และทำ SEO ออกมาได้ดี ซึ่งนับว่าเป็นหนทางที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นนั่นเอง

ใครที่อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถตามอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ : https://thekalling.com/tkl-blog/