8 Link Building tools to create more backlinks

8 เครื่องมือทำ Link Building สร้าง Backlinks คุณภาพกลับสู่เว็บไซต์ พิชิตอันดับ SEO

รู้หรือไม่ ? การทำ Link Building ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออะไรมากมาย เพียงเลือกมา และฝึกใช้ให้เป็นสัก 2 – 3 อันก็พอ โดยบทความนี้ได้นำ 8 เครื่องมือทำ Link Building ที่ได้ประสิทธิภาพในการสร้าง Backlink เพื่อเพิ่มยอด Traffic กลับสู่เว็บไซต์ มาฝากกัน

ประกอบไปด้วยดังนี้

  1. Ahrefs
  2. Google
  3. Hunter.io
  4. NeverBounce
  5. Buzzstream
  6. HARO
  7. URL Profiler
  8. SEO Toolbar

1. Ahrefs

หนึ่งในเครื่องมือวิจัยลิงก์ยอดนิยมในอุตสาหกรรม

หากถามว่าสามารถทำ Link Building โดยไม่ต้องใช้ Ahrefs ได้หรือไม่ ตอบเลยว่าได้ แต่คงไม่มีใครอยากทำเช่นนั้น เพราะเชื่อไหมว่าโปรแกรมรวบรวมข้อมูลของ Ahrefs มีการใช้งานเป็นอันดับสองรองจาก Google เลยทีเดียว แถมยังมีจำนวนดัชนี Backlink ย้อนกลับมาหาถึง 3 ล้านล้านรายการ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า Ahrefs คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการวิจัย และการทำ Backlink นั่นเอง

และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ต่างโหวตให้ Ahrefs เป็นเครื่องมือที่พวกเขาเลือกใช้อยู่เสมอ ซึ่งสามารถดูตัวอย่างได้จากโพลล์สำรวจรายงานการทำ Link Building ในปี 2021 ของ Aira

which tools do seo specialists trust the most

ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Content Explorer

Content Explorer คือฐานข้อมูลที่สามารถสืบค้นเว็บไซต์ได้มากกว่า 9 พันล้านหน้า ซึ่งนอกจากเป็นเรื่องดีสำหรับการวิจัยเนื้อหาแล้ว ยังช่วยค้นหาแหล่งเว็บไซต์ที่อาจกลายเป็นลูกค้า หรือลิงก์กลับมายังหน้าเว็บของเราได้อีกด้วย

ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการมองหาเว็บไซต์ที่มีโอกาสลิงก์กลับมายังบล็อกโพสต์หัวข้อ “เราเตอร์ที่ดีที่สุดในปี 2021” หนึ่งแหล่งที่น่าสนใจ และมีโอกาสลิงก์กลับมามากที่สุด จะเป็นเหล่าเว็บไซต์ หรือผู้คนที่เคยลิงก์ไปยังหน้าเว็บที่คล้าย หรือเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ไม่ได้รับการอัปเดตมานานหลายปีแล้วนั่นเอง เนื่องจากคงไม่มีใครต้องการลิงก์ไปยังแหล่งที่ให้ข้อมูลล้าสมัยที่อาจใช้งานไม่ได้แล้วอีกต่อไป

โดยสามารถค้นหาโพสต์ที่ตรงกับความต้องการได้อย่างง่ายดาย ผ่าน Content Explorer เพียง

  • ป้อนคำค้นหาที่ต้องการลงไป สำหรับตัวอย่างในที่นี้จะเป็น “เราเตอร์ wifi ที่ดีที่สุด”
  • เปลี่ยนโหมดการค้นหาเป็น “in title”
  • ใส่ฟิลเตอร์เลือกเฉพาะหน้าเว็บที่เผยแพร่ก่อนปี 2018
  • ใส่ตัวกรองภาษาที่ต้องการ
  • ใส่ฟิลเตอร์เพื่อกรองหน้าเว็บที่มีโดเมนอ้างอิงมากกว่า 10 โดเมน

หลังจากนั้นจะเห็นรายการเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกับของเรา แต่ไม่ได้รับการอัปเดตมาตั้งแต่ปี 2017 นั่นเอง

best wifi routers in title results

สามารถดาวน์โหลด Backlink ของเว็บไซต์แต่ละหน้าได้ผ่าน Site Explorer หลังจากนั้นให้ติดต่อ เพื่อนำเสนอให้เว็บไซต์เหล่านั้นเชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของเราที่เนื้อหาได้รับการอัพเดตแล้วแทน

ราคา

สามารถดูรายการ Backlink ของเว็บไซต์ที่เราเป็นเจ้าของได้ฟรี โดยใช้เครื่องมือ Ahrefs Webmaster Tools (AWT) แต่หากต้องการค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อดู Backlinks ของเว็บไซต์อื่นโดยใช้ Content Explorer ก็อาจจำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่าย เริ่มต้นที่ประมาณ 82$ เดือนนั่นเอง

2. Google

แหล่งลิงก์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

หลายคนคิดว่า Google ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับการทำ Link Building แต่จริง ๆ มันคืออีกหนึ่งเครื่องมือที่ดีที่สุดเลยต่างหาก นั่นก็เป็นเพราะว่า Google มีดัชนีเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นอัลกอริทึมการค้นหาที่ดีที่สุด ดังนั้นหากรู้วิธีใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพแล้วล่ะก็ จะสามารถค้นหาเว็บไซต์ที่มีโอกาสลิงก์กลับมาจากลิงก์ที่เกี่ยวข้องนับพันรายการได้แบบฟรี ๆ เลยทีเดียว

ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Search Operator

Search Operator คือคำสั่งที่ช่วยปรับแต่ง และคัดกรองผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา ซึ่งบางส่วนก็มีความจำเพาะใช้ได้เฉพาะบน Google แต่บางส่วนก็สามารถปรับใช้ได้หลายแพลตฟอร์ม เช่น ใน Bing หรือ Content Explorer เป็นต้น โดยถึงแม้ว่าจะเป็นอันที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงสำหรับ Google แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถผสมผสานพวกมันเข้าด้วยกัน เพื่อดึงผลลัพธ์ที่ต้องการออกมาจากดัชนีตัวชี้วัดที่กว้างขวางได้มากยิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถผสมตัวดำเนินการ intitle:, inurl:, and OR ไว้ด้วยกัน เพื่อค้นหาแหล่งเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอลิงก์ของเราได้ดังนี้

[keyword] (intitle:resources OR intitle:resource) (inurl:resources OR inurl:resource)

example of using search operator finding sources to present our links

นอกจากนี้ยังสามารถผสมผสาน intitle:, inurl:, and the – เพื่อค้นหาหน้าสำหรับทำ Guest blogger ที่มีผลงานมากมายในแวดวงอุตสาหกรรมของเรา และลงมือเขียนเนื้อหาเพื่อนำไปลงบนเว็บไซต์เหล่านั้นด้วยตัวเอง

intitle:”tim soulo” intitle:author inurl:author -ahrefs.com

finding sources to do guest blogger

ซึ่งข้อเสียเพียงอย่างเดียวของการใช้ Google คือ ในการค้นหาแหล่งลิงก์จะไม่สามารถดาวน์โหลดผลลัพธ์ที่หามาได้ แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้โปรแกรมเสริมของ Chrome เช่น Ahrefs ‘SEO Toolbar ซึ่งจะมีปุ่มให้ดาวน์โหลดข้อมูลบนหน้า SERP นั่นเอง

ราคา

ใช้งานได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย

3. Hunter.io

โปรแกรมค้นหาที่อยู่อีเมลอย่างมีประสิทธิภาพ

Hunter.io โปรแกรมค้นหาที่อยู่อีเมลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดบนโดเมน หรือที่อยู่อีเมลของบุคคลใดบุคคลหนึ่งภายในเวลาไม่กี่วินาที ยกตัวอย่างการค้นหาอีเมลนักเขียนท่านหนึ่งบนเว็บไซต์ @ahrefs.com

example of using email finder

จากการทดลองจะพบว่า Hunter.io อาจไม่ใช่เครื่องมือค้นหาอีเมลที่แม่นยำที่สุด แต่มีหนึ่งฟีเจอร์อันแสนสะดวกที่สามารถทดแทนข้อด้อยในส่วนนี้ได้ในเวลาที่ต้องค้นหากลุ่มเป้าหมายในวงกว้างนั่นคือ ส่วนเสริมของ Google Sheet นั่นเอง

ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Google Sheet add-on

สมมุติว่าเราได้รายการเว็บไซต์ที่มีโอกาสเชื่อมโยงกลับมายังหน้าเว็บของเราจาก Content Explorer และได้ทำการส่งออกมายัง Google Sheet แล้ว จะสังเกตเห็นว่าไฟล์ที่นำออกมามีการแปะชื่อของนักเขียนของแต่ละเว็บไซต์มาด้วย ทีนี้ขั้นตอนต่อไปคือต้องหา Email ของนักเขียน หรือผู้ดูแลเว็บไซต์เหล่านั้น

finding email of author

โดยการใช้ฟังก์ชัน Hunter’s Sheets add-on จะสามารถค้นหาอีเมลของนักเขียนแต่ละคนได้ในคลิกเดียว

hunter sheets add-on function

ซึ่งการทำแบบนี้อาจไม่พบที่อยู่อีเมลของนักเขียนทุกราย แต่อย่างน้อยก็สามารถตรวจพบอีเมลได้ในจำนวนมากพอสมควร ซึ่งสามารถใช้รายชื่ออีเมลที่ค้นเจอเหล่านี้เป็นตัวตั้งสำหรับการทดสอบประสิทธิภาพการเข้าถึง ถ้าหากได้ผล ก็อาจลองค้นหาอีเมลของรายชื่อที่เหลืออื่น ๆ เพื่อสร้างลิงก์เพิ่มเติมในภายหลังได้

ราคา

ค้นหาได้ฟรีสูงสุด 25 รายชื่อต่อเดือน หลังจากนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 49 $ ต่อเดือน

4. NeverBounce

เครื่องมือยืนยันอีเมล และทำความสะอาด

ทุกครั้งก่อนการส่งควรยืนยันก่อนว่าอีเมลของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการมีความสามารถในการรับส่งอีเมลกลับมาหรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้การแสดงโฆษณาของทั้งแคมเปญได้รับผลกระทบจากการถูกตีกลับ นอกจากนี้ยังเสียเวลาในการปรับแต่งอีเมลไปฟรี ๆ อีกด้วย

ซึ่ง NeverBounce ช่วยให้การยืนยันอีเมลเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก เพียงอัปโหลดรายชื่อที่ต้องการลงไป แล้วระบบจะบอกข้อมูลทั้งหมดเลยว่าอีเมลแต่ละอันเชื่อถือได้ หรือไม่ได้ ตามภาพ

email validation results of neverbounce

นอกจากนี้เครื่องมือยังช่วยกำจัดรายการซ้ำให้แบบอัตโนมัติ จึงช่วยลดการจ่ายซ้ำซ้อน ทำให้เราชำระเงินสำหรับการยืนยันอีเมลแต่ละอันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : การรวม Zapier

เพราะทุกขั้นตอนล้วนดำเนินการผ่าน Google Sheet เกือบทั้งหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการรวม Zapier ของ NeverBounce จึงมีประโยชน์มาก เพราะจะช่วยให้สามารถตั้งค่า Zap แบบหลายขั้นตอนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อเราใส่ที่อยู่อีเมลลงไปบน Google Sheet ระบบจะทำการส่ง Ping ไปที่ Bounce เพื่อยืนยันอีเมลได้เลยทันที และบันทึกการยืนยันสถานะของอีเมลนั้น ๆ ลงบนชีตให้อีกด้วย

exmaple of zapier

แต่ถึงอย่างนั้นระบบนี้ก็มีข้อเสีย คือจำนวนค่าใช้จ่าย ซึ่งหากเลือกจ่ายเป็นแพลน 49 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ก็จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มอีก 0.025 ดอลลาร์ในแต่ละครั้งที่ Zap ทำงาน ซึ่งทำให้มีราคาแพงกว่าการทำด้วยตนเองอย่างน้อย 10 เท่าเลยทีเดียว

สำหรับวิธีการแก้ไขจะสามารถสร้างตัวนำเข้า JSON ใน Google Apps Script เพื่อนำเข้าข้อมูลจาก NeverBounce webhooks ได้

ราคา

เริ่มต้นที่ 0.003 $ ต่อการยืนยัน

5. Buzzstream

เครื่องมือประชาสัมพันธ์ และจัดการกลุ่มเป้าหมาย

Gmail เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์หากวางแผนที่จะจัดส่งการประชาสัมพันธ์เพียงไม่กี่ฉบับ แต่ Buzzstream จะกลายเป็นเครื่องมือเฉพาะที่มีความจำเป็นเมื่อต้องการเพิ่มปริมาณการเข้าถึงอีเมลที่มากขึ้น โดยสิ่งนี้จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการ ปรับแต่ง ติดตาม และส่งอีเมลได้แบบครบเครื่องในที่เดียว นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มผู้ใช้หลายรายลงในบัญชีของตัวเอง และมอบหมายงานให้พวกเขาเหล่านั้นได้อีกด้วย

ซึ่งสามารถนำเข้าไฟล์ CSV ที่ส่งออกมาจาก Ahrefs ได้เช่นกัน

imports Ahrefs CSV exports

ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Buzzmarker

Buzzmarker คือส่วนขยายของ Chrome ที่ช่วยเร่งการค้นหาลิงก์ โดยสามารถใช้เพื่อค้นหาข้อมูลติดต่อ เพิ่มผู้ที่มีโอกาสลิงก์กลับมา รวมถึงการเขียนอีเมลจากเทมเพลตในขณะที่เรากำลังท่องเว็บอยู่ได้

โดยนี่คือตัวอย่างที่ช่วยให้เห็นภาพการทำงานของมันมากขึ้น สมมุติว่าเรากำลังท่องเว็บอยู่ และค้นพบเว็บไซต์แหล่งข้อมูล หรือผู้ที่มีโอกาสลิงก์กลับมาหาเรา เมื่อทำการกดไปที่ Buzzmaker เราจะเห็นรายละเอียดการติดต่อที่มีอยู่บนหน้าเว็บไซต์ โดยไม่ต้องเลื่อนหาเอง อีกทั้งยังสามารถเพิ่มกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ลงในรายการได้ในคลิกเดียว

add the prospect to an outreach campaign

นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกในการเขียน และส่งอีเมลโดยใช้เทมเพลตจากบัญชี Buzzstream ของตัวเองบนหน้าต่างเบราว์เซอร์ได้อีกด้วย

compose and send an email using templates from Buzzstream

ราคา

เริ่มต้นที่ 24 $ ต่อเดือน

6. HARO

เชื่อมโยงนักเขียน กับแหล่งข้อมูล

นักเขียนทุกคนมักต้องการข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ รวมถึงความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมเพื่อนำมาทำบทความของตนเอง โดย HARO หรือ Help A Reporter Out ได้เข้ามาแก้ไขปัญหานี้โดยการเชื่อมโยงนักเขียนเข้ากับแหล่งข้อมูล หรือผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการส่งอีเมลรายวันนั่นเอง

ซึ่งด้านล่างนี้ คือหลักการทำงานโดยสรุป :

  • นักเขียนยื่นคำขอแหล่งที่มาไปยัง HARO
  • HARO ส่งอีเมลสามฉบับต่อวันไปยังผู้ใช้มากกว่า 800,000 รายพร้อมคำขอเหล่านี้
  • ผู้ใช้งาน HARO นำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำขอเพื่อรับ Backlink กลับมา

ยกตัวอย่างเช่น ภาพด้านล่างแสดงถึงคำขอล่าสุดจากเว็บไซต์ Realtor.com ที่มีค่า DR 91 โดยพวกเขากำลังมองหาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับ “เคล็ดลับการซื้อของใน IKEA จากนักออกแบบตกแต่งภายใน”

recent request from Realtor.com

หากเราทำการส่งข้อมูลไป และได้รับเลือก ปกติแล้วจะได้รับการกล่าวถึง และลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรานั่นเอง

เคล็ดลับมือโปร

ควรตรวจสอบนโยบายการลิงก์สู่เว็บไซต์ภายนอกของเว็บที่ส่งคำขอมาก่อนที่จะจัดส่งข้อมูลกลับไป เพราะไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่สามารถลิงก์กลับมายังเว็บที่เป็นแหล่งที่มาของข้อมูลได้ ซึ่งสามารถทำได้โดยการลองดู และตรวจสอบโพสต์ล่าสุดที่พวกเขาลงบางส่วนว่ามีการลิงก์กลับไปหาเว็บไซต์ภายนอกหรือไม่

ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Keyword alerts

HARO จะแบ่งคำขอออกเป็นสองถึงสามหมวดหมู่ เพื่อให้เราสามารถสมัครสมาชิกในเฉพาะกับคำขอที่เหมาะสมกับตัวเองเท่านั้น ซึ่งปัญหาเดียวที่พบก็คือ หมวดหมู่เหล่านี้ค่อนข้างที่จะกว้างเกินไปหน่อย

categories of HARO

ยกตัวอย่างเช่น คำขอในหมวดหมู่ “ธุรกิจและการเงิน” ที่จะครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ ไปจนถึงเรื่อง Bitcoin บัตรเครดิต ไปจนถึงการทำ SEO เลยทีเดียว

ซึ่ง HARO ก็แก้ไขปัญหานี้ด้วยการกำหนดแผนชำระเงิน โดยแต่ละแผนจะช่วยให้สามารถคัดกรองตามคีย์เวิร์ด หรือคำหลักได้ตามจำนวนในราคาที่ไม่เท่ากัน

HARO's paid plans

แต่ในอีกทางเราสามารถทำสิ่งที่คล้ายกันได้ฟรีโดยใช้ตัวกรองของ Gmail ซึ่งมีวิธีตั้งค่าดังต่อไปนี้

using gmail filters

ราคา

สามารถใช้งานได้ทั้งแบบฟรี และแผนการชำระเงินเริ่มต้นที่ 19$ ต่อเดือน

7. URL Profiler

เครื่องมือดึงข้อมูล และชี้วัด SEO

URL Profiler คือเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้สามารถดึงตัวชี้วัด และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ URL ได้มากมาย เพียงวาง URL เว็บไซต์ของเราลงไป ทำเครื่องหมายติ๊กถูกในช่องข้อมูลที่ต้องการดึง แล้วกด “Run” ได้เลย

examaple of using URL profiler

ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Contact scraping

ก่อนหน้านี้ได้อธิบายเกี่ยวกับ Content Explorer กันไปแล้ว ว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยดึงรายชื่อของนักเขียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายออกมาได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการค้นหาเว็บไซต์เพื่อทำ Backlinks ยิ่งเมื่อใช้รวมกับเครื่องมืออย่าง Hunter และ NeverBounce ก็ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาให้ดียิ่งขึ้น แต่หากเราไปดึงข้อมูลมาจากแหล่งอื่นก็จะไม่มีข้อมูลเหล่านี้เลย จึงเป็นเหตุผลที่ URL Profiler มีประโยชน์ขึ้นมา

โดยหากติ๊กเลือกที่ช่อง “Readability” หรือความสามารถในการอ่าน ระบบก็จะทำการดึงรายชื่อผู้เขียนจากลิสต์ของ URL ออกมาให้นั่นเอง

choose readability

ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถใช้งาน หรือให้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมืออันยอดเยี่ยมที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาชื่อของผู้เขียนจากเว็บไซต์ที่ดึงมาจาก Site Explorer หรือ Google ได้

นอกจากนี้ URL Profiler ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือพันธมิตรของ Ahrefs ดังนั้นจึงสามารถใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตซึ่งรวมอยู่ในการสมัครสมาชิกเพื่อดึงข้อมูลการวัดผลของ Ahrefs สำหรับ URL นับพันรายการในคราวเดียวได้ ซึ่งมีประโยชน์มากเมื่อเรามีลิสต์รายการเว็บไซต์เป้าหมายเริ่มต้นที่เชื่อมโยงกับ Google หรือเครื่องมืออื่นที่ไม่มีข้อมูลตัวชี้วัด SEO นั่นเอง

ราคา

ใช้งานฟรี 14 วันแรก และมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 19.95 $ ต่อเดือน

8. SEO Toolbar

ผู้ช่วย SEO ที่มีประโยชน์สำหรับเบราว์เซอร์

SEO Toolbar เป็นส่วนขยายของบราวเซอร์ใน Chrome และ Firefox โดยเทคนิคแล้วมันคือส่วนหนึ่งของ Ahrefs แต่เราจะนำมาพูดแยกเนื่องจากในเครื่องมือนี้มีฟีเจอร์บางอย่างที่มีประโยชน์อย่างมากต่อการทำ Link Building นั่นเอง

ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Internal and dead link highlighter

ฟีเจอร์นี้ไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถแยกออกจากกัน โดยส่วนขยายเบราว์เซอร์จำนวนมากมีการทำทั้งสองอย่าง และยังไม่พบส่วนขยายแบบอื่นที่สามารถเน้น internal links หรือ dead links ในเวลาเดียวกันได้

โดยเครื่องมือนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อเราทำการค้นหาเว็บไซต์ที่มีโอกาสเป็นทรัพยากร เนื่องจากลิงก์ในอุดมคติมักประกอบไปด้วยสองปัจจัยดังนี้

มีการเชื่อมโยงไปยัง URL ภายนอก

เพราะจะไม่มีประโยชน์เลย หากทำการลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่ลิงก์อยู่แค่ภายในเว็บของตัวเองเท่านั้น

มีลิงก์เสีย

เพราะจะช่วยให้สามารถประชาสัมพันธ์การเชื่อมลิงก์เพิ่มเติมกลับมายังเว็บไซต์ของเราได้

ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเรามีหน้าเว็บที่เป็นเป้าหมายทรัพยากรในการขยายลิงก์ไปดังนี้ ซึ่งการใช้ SEO Toolbar จะช่วยให้เราสามารถเน้นไปที่จำนวนลิงก์ภายใน และลิงก์เสียภายในไม่กี่คลิกได้

exmaple of using internal and dead link highlighter

จากภาพจะเห็นว่าเว็บไซต์นี้มีการเชื่อมโยงออกไปยังแหล่งข้อมูลภายนอกจำนวนมาก (รู้ได้จากการที่จำนวนลิงก์ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกเน้น) และมีลิงก์เสียอยู่อย่างน้อยหนึ่งลิงก์แล้วนั่นเอง ดังนั้น SEO Toolbar จึงจัดเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว และได้ประสิทธิภาพในการค้นหาเว็บไซต์เป้าหมายที่มีโอกาสลิงก์กลับมาได้ดี อีกทั้งยังสามารถสร้างอีเมลประชาสัมพันธ์ที่เป็นส่วนตัว และเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำได้ดังนี้

quick and easy to spot prospect website making gmail

ราคา

ใช้งานฟรี โดยมีการแสดงข้อมูลเพิ่มเติมให้สำหรับลูกค้าที่ใช้งาน Ahrefs อยู่แล้ว

สรุป

เครื่องมือทำ Link Building คือสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าความจริงจะสามารถสร้างลิงก์ได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องมือเหล่านี้ได้ แต่ไม่ขอแนะนำเนื่องจากในการทำงาน ความเร็ว และประสิทธิภาพ คือสิ่งสำคัญ เพราะยิ่งใช้เวลาในการทำมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยืดเวลาที่เว็บไซต์ของเราจะมีโอกาสติดอันดับออกไปมากเท่านั้น

ใครที่อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถตามอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ : https://thekalling.com/tkl-blog/