รู้หรือไม่ ? การทำ Link Building ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออะไรมากมาย เพียงเลือกมา และฝึกใช้ให้เป็นสัก 2 – 3 อันก็พอ โดยบทความนี้ได้นำ 8 เครื่องมือทำ Link Building ที่ได้ประสิทธิภาพในการสร้าง Backlink เพื่อเพิ่มยอด Traffic กลับสู่เว็บไซต์ มาฝากกัน
ประกอบไปด้วยดังนี้
1. Ahrefs
หนึ่งในเครื่องมือวิจัยลิงก์ยอดนิยมในอุตสาหกรรม
หากถามว่าสามารถทำ Link Building โดยไม่ต้องใช้ Ahrefs ได้หรือไม่ ตอบเลยว่าได้ แต่คงไม่มีใครอยากทำเช่นนั้น เพราะเชื่อไหมว่าโปรแกรมรวบรวมข้อมูลของ Ahrefs มีการใช้งานเป็นอันดับสองรองจาก Google เลยทีเดียว แถมยังมีจำนวนดัชนี Backlink ย้อนกลับมาหาถึง 3 ล้านล้านรายการ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า Ahrefs คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการวิจัย และการทำ Backlink นั่นเอง
และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ต่างโหวตให้ Ahrefs เป็นเครื่องมือที่พวกเขาเลือกใช้อยู่เสมอ ซึ่งสามารถดูตัวอย่างได้จากโพลล์สำรวจรายงานการทำ Link Building ในปี 2021 ของ Aira
ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Content Explorer
Content Explorer คือฐานข้อมูลที่สามารถสืบค้นเว็บไซต์ได้มากกว่า 9 พันล้านหน้า ซึ่งนอกจากเป็นเรื่องดีสำหรับการวิจัยเนื้อหาแล้ว ยังช่วยค้นหาแหล่งเว็บไซต์ที่อาจกลายเป็นลูกค้า หรือลิงก์กลับมายังหน้าเว็บของเราได้อีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการมองหาเว็บไซต์ที่มีโอกาสลิงก์กลับมายังบล็อกโพสต์หัวข้อ “เราเตอร์ที่ดีที่สุดในปี 2021” หนึ่งแหล่งที่น่าสนใจ และมีโอกาสลิงก์กลับมามากที่สุด จะเป็นเหล่าเว็บไซต์ หรือผู้คนที่เคยลิงก์ไปยังหน้าเว็บที่คล้าย หรือเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ไม่ได้รับการอัปเดตมานานหลายปีแล้วนั่นเอง เนื่องจากคงไม่มีใครต้องการลิงก์ไปยังแหล่งที่ให้ข้อมูลล้าสมัยที่อาจใช้งานไม่ได้แล้วอีกต่อไป
โดยสามารถค้นหาโพสต์ที่ตรงกับความต้องการได้อย่างง่ายดาย ผ่าน Content Explorer เพียง
- ป้อนคำค้นหาที่ต้องการลงไป สำหรับตัวอย่างในที่นี้จะเป็น “เราเตอร์ wifi ที่ดีที่สุด”
- เปลี่ยนโหมดการค้นหาเป็น “in title”
- ใส่ฟิลเตอร์เลือกเฉพาะหน้าเว็บที่เผยแพร่ก่อนปี 2018
- ใส่ตัวกรองภาษาที่ต้องการ
- ใส่ฟิลเตอร์เพื่อกรองหน้าเว็บที่มีโดเมนอ้างอิงมากกว่า 10 โดเมน
หลังจากนั้นจะเห็นรายการเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกับของเรา แต่ไม่ได้รับการอัปเดตมาตั้งแต่ปี 2017 นั่นเอง
สามารถดาวน์โหลด Backlink ของเว็บไซต์แต่ละหน้าได้ผ่าน Site Explorer หลังจากนั้นให้ติดต่อ เพื่อนำเสนอให้เว็บไซต์เหล่านั้นเชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของเราที่เนื้อหาได้รับการอัพเดตแล้วแทน
ราคา
สามารถดูรายการ Backlink ของเว็บไซต์ที่เราเป็นเจ้าของได้ฟรี โดยใช้เครื่องมือ Ahrefs Webmaster Tools (AWT) แต่หากต้องการค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อดู Backlinks ของเว็บไซต์อื่นโดยใช้ Content Explorer ก็อาจจำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่าย เริ่มต้นที่ประมาณ 82$ เดือนนั่นเอง
2. Google
แหล่งลิงก์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หลายคนคิดว่า Google ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับการทำ Link Building แต่จริง ๆ มันคืออีกหนึ่งเครื่องมือที่ดีที่สุดเลยต่างหาก นั่นก็เป็นเพราะว่า Google มีดัชนีเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นอัลกอริทึมการค้นหาที่ดีที่สุด ดังนั้นหากรู้วิธีใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพแล้วล่ะก็ จะสามารถค้นหาเว็บไซต์ที่มีโอกาสลิงก์กลับมาจากลิงก์ที่เกี่ยวข้องนับพันรายการได้แบบฟรี ๆ เลยทีเดียว
ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Search Operator
Search Operator คือคำสั่งที่ช่วยปรับแต่ง และคัดกรองผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา ซึ่งบางส่วนก็มีความจำเพาะใช้ได้เฉพาะบน Google แต่บางส่วนก็สามารถปรับใช้ได้หลายแพลตฟอร์ม เช่น ใน Bing หรือ Content Explorer เป็นต้น โดยถึงแม้ว่าจะเป็นอันที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงสำหรับ Google แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถผสมผสานพวกมันเข้าด้วยกัน เพื่อดึงผลลัพธ์ที่ต้องการออกมาจากดัชนีตัวชี้วัดที่กว้างขวางได้มากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถผสมตัวดำเนินการ intitle:, inurl:, and OR ไว้ด้วยกัน เพื่อค้นหาแหล่งเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอลิงก์ของเราได้ดังนี้
[keyword] (intitle:resources OR intitle:resource) (inurl:resources OR inurl:resource)
นอกจากนี้ยังสามารถผสมผสาน intitle:, inurl:, and the – เพื่อค้นหาหน้าสำหรับทำ Guest blogger ที่มีผลงานมากมายในแวดวงอุตสาหกรรมของเรา และลงมือเขียนเนื้อหาเพื่อนำไปลงบนเว็บไซต์เหล่านั้นด้วยตัวเอง
intitle:”tim soulo” intitle:author inurl:author -ahrefs.com
ซึ่งข้อเสียเพียงอย่างเดียวของการใช้ Google คือ ในการค้นหาแหล่งลิงก์จะไม่สามารถดาวน์โหลดผลลัพธ์ที่หามาได้ แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้โปรแกรมเสริมของ Chrome เช่น Ahrefs ‘SEO Toolbar ซึ่งจะมีปุ่มให้ดาวน์โหลดข้อมูลบนหน้า SERP นั่นเอง
ราคา
ใช้งานได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย
3. Hunter.io
โปรแกรมค้นหาที่อยู่อีเมลอย่างมีประสิทธิภาพ
Hunter.io โปรแกรมค้นหาที่อยู่อีเมลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดบนโดเมน หรือที่อยู่อีเมลของบุคคลใดบุคคลหนึ่งภายในเวลาไม่กี่วินาที ยกตัวอย่างการค้นหาอีเมลนักเขียนท่านหนึ่งบนเว็บไซต์ @ahrefs.com
จากการทดลองจะพบว่า Hunter.io อาจไม่ใช่เครื่องมือค้นหาอีเมลที่แม่นยำที่สุด แต่มีหนึ่งฟีเจอร์อันแสนสะดวกที่สามารถทดแทนข้อด้อยในส่วนนี้ได้ในเวลาที่ต้องค้นหากลุ่มเป้าหมายในวงกว้างนั่นคือ ส่วนเสริมของ Google Sheet นั่นเอง
ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Google Sheet add-on
สมมุติว่าเราได้รายการเว็บไซต์ที่มีโอกาสเชื่อมโยงกลับมายังหน้าเว็บของเราจาก Content Explorer และได้ทำการส่งออกมายัง Google Sheet แล้ว จะสังเกตเห็นว่าไฟล์ที่นำออกมามีการแปะชื่อของนักเขียนของแต่ละเว็บไซต์มาด้วย ทีนี้ขั้นตอนต่อไปคือต้องหา Email ของนักเขียน หรือผู้ดูแลเว็บไซต์เหล่านั้น
โดยการใช้ฟังก์ชัน Hunter’s Sheets add-on จะสามารถค้นหาอีเมลของนักเขียนแต่ละคนได้ในคลิกเดียว
ซึ่งการทำแบบนี้อาจไม่พบที่อยู่อีเมลของนักเขียนทุกราย แต่อย่างน้อยก็สามารถตรวจพบอีเมลได้ในจำนวนมากพอสมควร ซึ่งสามารถใช้รายชื่ออีเมลที่ค้นเจอเหล่านี้เป็นตัวตั้งสำหรับการทดสอบประสิทธิภาพการเข้าถึง ถ้าหากได้ผล ก็อาจลองค้นหาอีเมลของรายชื่อที่เหลืออื่น ๆ เพื่อสร้างลิงก์เพิ่มเติมในภายหลังได้
ราคา
ค้นหาได้ฟรีสูงสุด 25 รายชื่อต่อเดือน หลังจากนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 49 $ ต่อเดือน
4. NeverBounce
เครื่องมือยืนยันอีเมล และทำความสะอาด
ทุกครั้งก่อนการส่งควรยืนยันก่อนว่าอีเมลของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการมีความสามารถในการรับส่งอีเมลกลับมาหรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้การแสดงโฆษณาของทั้งแคมเปญได้รับผลกระทบจากการถูกตีกลับ นอกจากนี้ยังเสียเวลาในการปรับแต่งอีเมลไปฟรี ๆ อีกด้วย
ซึ่ง NeverBounce ช่วยให้การยืนยันอีเมลเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก เพียงอัปโหลดรายชื่อที่ต้องการลงไป แล้วระบบจะบอกข้อมูลทั้งหมดเลยว่าอีเมลแต่ละอันเชื่อถือได้ หรือไม่ได้ ตามภาพ
นอกจากนี้เครื่องมือยังช่วยกำจัดรายการซ้ำให้แบบอัตโนมัติ จึงช่วยลดการจ่ายซ้ำซ้อน ทำให้เราชำระเงินสำหรับการยืนยันอีเมลแต่ละอันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : การรวม Zapier
เพราะทุกขั้นตอนล้วนดำเนินการผ่าน Google Sheet เกือบทั้งหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการรวม Zapier ของ NeverBounce จึงมีประโยชน์มาก เพราะจะช่วยให้สามารถตั้งค่า Zap แบบหลายขั้นตอนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อเราใส่ที่อยู่อีเมลลงไปบน Google Sheet ระบบจะทำการส่ง Ping ไปที่ Bounce เพื่อยืนยันอีเมลได้เลยทันที และบันทึกการยืนยันสถานะของอีเมลนั้น ๆ ลงบนชีตให้อีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นระบบนี้ก็มีข้อเสีย คือจำนวนค่าใช้จ่าย ซึ่งหากเลือกจ่ายเป็นแพลน 49 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ก็จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มอีก 0.025 ดอลลาร์ในแต่ละครั้งที่ Zap ทำงาน ซึ่งทำให้มีราคาแพงกว่าการทำด้วยตนเองอย่างน้อย 10 เท่าเลยทีเดียว
สำหรับวิธีการแก้ไขจะสามารถสร้างตัวนำเข้า JSON ใน Google Apps Script เพื่อนำเข้าข้อมูลจาก NeverBounce webhooks ได้
ราคา
เริ่มต้นที่ 0.003 $ ต่อการยืนยัน
5. Buzzstream
เครื่องมือประชาสัมพันธ์ และจัดการกลุ่มเป้าหมาย
Gmail เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์หากวางแผนที่จะจัดส่งการประชาสัมพันธ์เพียงไม่กี่ฉบับ แต่ Buzzstream จะกลายเป็นเครื่องมือเฉพาะที่มีความจำเป็นเมื่อต้องการเพิ่มปริมาณการเข้าถึงอีเมลที่มากขึ้น โดยสิ่งนี้จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการ ปรับแต่ง ติดตาม และส่งอีเมลได้แบบครบเครื่องในที่เดียว นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มผู้ใช้หลายรายลงในบัญชีของตัวเอง และมอบหมายงานให้พวกเขาเหล่านั้นได้อีกด้วย
ซึ่งสามารถนำเข้าไฟล์ CSV ที่ส่งออกมาจาก Ahrefs ได้เช่นกัน
ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Buzzmarker
Buzzmarker คือส่วนขยายของ Chrome ที่ช่วยเร่งการค้นหาลิงก์ โดยสามารถใช้เพื่อค้นหาข้อมูลติดต่อ เพิ่มผู้ที่มีโอกาสลิงก์กลับมา รวมถึงการเขียนอีเมลจากเทมเพลตในขณะที่เรากำลังท่องเว็บอยู่ได้
โดยนี่คือตัวอย่างที่ช่วยให้เห็นภาพการทำงานของมันมากขึ้น สมมุติว่าเรากำลังท่องเว็บอยู่ และค้นพบเว็บไซต์แหล่งข้อมูล หรือผู้ที่มีโอกาสลิงก์กลับมาหาเรา เมื่อทำการกดไปที่ Buzzmaker เราจะเห็นรายละเอียดการติดต่อที่มีอยู่บนหน้าเว็บไซต์ โดยไม่ต้องเลื่อนหาเอง อีกทั้งยังสามารถเพิ่มกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ลงในรายการได้ในคลิกเดียว
นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกในการเขียน และส่งอีเมลโดยใช้เทมเพลตจากบัญชี Buzzstream ของตัวเองบนหน้าต่างเบราว์เซอร์ได้อีกด้วย
ราคา
เริ่มต้นที่ 24 $ ต่อเดือน
6. HARO
เชื่อมโยงนักเขียน กับแหล่งข้อมูล
นักเขียนทุกคนมักต้องการข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ รวมถึงความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมเพื่อนำมาทำบทความของตนเอง โดย HARO หรือ Help A Reporter Out ได้เข้ามาแก้ไขปัญหานี้โดยการเชื่อมโยงนักเขียนเข้ากับแหล่งข้อมูล หรือผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการส่งอีเมลรายวันนั่นเอง
ซึ่งด้านล่างนี้ คือหลักการทำงานโดยสรุป :
- นักเขียนยื่นคำขอแหล่งที่มาไปยัง HARO
- HARO ส่งอีเมลสามฉบับต่อวันไปยังผู้ใช้มากกว่า 800,000 รายพร้อมคำขอเหล่านี้
- ผู้ใช้งาน HARO นำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำขอเพื่อรับ Backlink กลับมา
ยกตัวอย่างเช่น ภาพด้านล่างแสดงถึงคำขอล่าสุดจากเว็บไซต์ Realtor.com ที่มีค่า DR 91 โดยพวกเขากำลังมองหาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับ “เคล็ดลับการซื้อของใน IKEA จากนักออกแบบตกแต่งภายใน”
หากเราทำการส่งข้อมูลไป และได้รับเลือก ปกติแล้วจะได้รับการกล่าวถึง และลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรานั่นเอง
เคล็ดลับมือโปร
ควรตรวจสอบนโยบายการลิงก์สู่เว็บไซต์ภายนอกของเว็บที่ส่งคำขอมาก่อนที่จะจัดส่งข้อมูลกลับไป เพราะไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่สามารถลิงก์กลับมายังเว็บที่เป็นแหล่งที่มาของข้อมูลได้ ซึ่งสามารถทำได้โดยการลองดู และตรวจสอบโพสต์ล่าสุดที่พวกเขาลงบางส่วนว่ามีการลิงก์กลับไปหาเว็บไซต์ภายนอกหรือไม่
ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Keyword alerts
HARO จะแบ่งคำขอออกเป็นสองถึงสามหมวดหมู่ เพื่อให้เราสามารถสมัครสมาชิกในเฉพาะกับคำขอที่เหมาะสมกับตัวเองเท่านั้น ซึ่งปัญหาเดียวที่พบก็คือ หมวดหมู่เหล่านี้ค่อนข้างที่จะกว้างเกินไปหน่อย
ยกตัวอย่างเช่น คำขอในหมวดหมู่ “ธุรกิจและการเงิน” ที่จะครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ ไปจนถึงเรื่อง Bitcoin บัตรเครดิต ไปจนถึงการทำ SEO เลยทีเดียว
ซึ่ง HARO ก็แก้ไขปัญหานี้ด้วยการกำหนดแผนชำระเงิน โดยแต่ละแผนจะช่วยให้สามารถคัดกรองตามคีย์เวิร์ด หรือคำหลักได้ตามจำนวนในราคาที่ไม่เท่ากัน
แต่ในอีกทางเราสามารถทำสิ่งที่คล้ายกันได้ฟรีโดยใช้ตัวกรองของ Gmail ซึ่งมีวิธีตั้งค่าดังต่อไปนี้
ราคา
สามารถใช้งานได้ทั้งแบบฟรี และแผนการชำระเงินเริ่มต้นที่ 19$ ต่อเดือน
7. URL Profiler
เครื่องมือดึงข้อมูล และชี้วัด SEO
URL Profiler คือเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้สามารถดึงตัวชี้วัด และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ URL ได้มากมาย เพียงวาง URL เว็บไซต์ของเราลงไป ทำเครื่องหมายติ๊กถูกในช่องข้อมูลที่ต้องการดึง แล้วกด “Run” ได้เลย
ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Contact scraping
ก่อนหน้านี้ได้อธิบายเกี่ยวกับ Content Explorer กันไปแล้ว ว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยดึงรายชื่อของนักเขียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายออกมาได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการค้นหาเว็บไซต์เพื่อทำ Backlinks ยิ่งเมื่อใช้รวมกับเครื่องมืออย่าง Hunter และ NeverBounce ก็ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาให้ดียิ่งขึ้น แต่หากเราไปดึงข้อมูลมาจากแหล่งอื่นก็จะไม่มีข้อมูลเหล่านี้เลย จึงเป็นเหตุผลที่ URL Profiler มีประโยชน์ขึ้นมา
โดยหากติ๊กเลือกที่ช่อง “Readability” หรือความสามารถในการอ่าน ระบบก็จะทำการดึงรายชื่อผู้เขียนจากลิสต์ของ URL ออกมาให้นั่นเอง
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถใช้งาน หรือให้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมืออันยอดเยี่ยมที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาชื่อของผู้เขียนจากเว็บไซต์ที่ดึงมาจาก Site Explorer หรือ Google ได้
นอกจากนี้ URL Profiler ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือพันธมิตรของ Ahrefs ดังนั้นจึงสามารถใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตซึ่งรวมอยู่ในการสมัครสมาชิกเพื่อดึงข้อมูลการวัดผลของ Ahrefs สำหรับ URL นับพันรายการในคราวเดียวได้ ซึ่งมีประโยชน์มากเมื่อเรามีลิสต์รายการเว็บไซต์เป้าหมายเริ่มต้นที่เชื่อมโยงกับ Google หรือเครื่องมืออื่นที่ไม่มีข้อมูลตัวชี้วัด SEO นั่นเอง
ราคา
ใช้งานฟรี 14 วันแรก และมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 19.95 $ ต่อเดือน
8. SEO Toolbar
ผู้ช่วย SEO ที่มีประโยชน์สำหรับเบราว์เซอร์
SEO Toolbar เป็นส่วนขยายของบราวเซอร์ใน Chrome และ Firefox โดยเทคนิคแล้วมันคือส่วนหนึ่งของ Ahrefs แต่เราจะนำมาพูดแยกเนื่องจากในเครื่องมือนี้มีฟีเจอร์บางอย่างที่มีประโยชน์อย่างมากต่อการทำ Link Building นั่นเอง
ฟีเจอร์การใช้งานที่โดดเด่น : Internal and dead link highlighter
ฟีเจอร์นี้ไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถแยกออกจากกัน โดยส่วนขยายเบราว์เซอร์จำนวนมากมีการทำทั้งสองอย่าง และยังไม่พบส่วนขยายแบบอื่นที่สามารถเน้น internal links หรือ dead links ในเวลาเดียวกันได้
โดยเครื่องมือนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อเราทำการค้นหาเว็บไซต์ที่มีโอกาสเป็นทรัพยากร เนื่องจากลิงก์ในอุดมคติมักประกอบไปด้วยสองปัจจัยดังนี้
มีการเชื่อมโยงไปยัง URL ภายนอก
เพราะจะไม่มีประโยชน์เลย หากทำการลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่ลิงก์อยู่แค่ภายในเว็บของตัวเองเท่านั้น
มีลิงก์เสีย
เพราะจะช่วยให้สามารถประชาสัมพันธ์การเชื่อมลิงก์เพิ่มเติมกลับมายังเว็บไซต์ของเราได้
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเรามีหน้าเว็บที่เป็นเป้าหมายทรัพยากรในการขยายลิงก์ไปดังนี้ ซึ่งการใช้ SEO Toolbar จะช่วยให้เราสามารถเน้นไปที่จำนวนลิงก์ภายใน และลิงก์เสียภายในไม่กี่คลิกได้
จากภาพจะเห็นว่าเว็บไซต์นี้มีการเชื่อมโยงออกไปยังแหล่งข้อมูลภายนอกจำนวนมาก (รู้ได้จากการที่จำนวนลิงก์ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกเน้น) และมีลิงก์เสียอยู่อย่างน้อยหนึ่งลิงก์แล้วนั่นเอง ดังนั้น SEO Toolbar จึงจัดเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว และได้ประสิทธิภาพในการค้นหาเว็บไซต์เป้าหมายที่มีโอกาสลิงก์กลับมาได้ดี อีกทั้งยังสามารถสร้างอีเมลประชาสัมพันธ์ที่เป็นส่วนตัว และเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำได้ดังนี้
ราคา
ใช้งานฟรี โดยมีการแสดงข้อมูลเพิ่มเติมให้สำหรับลูกค้าที่ใช้งาน Ahrefs อยู่แล้ว
สรุป
เครื่องมือทำ Link Building คือสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าความจริงจะสามารถสร้างลิงก์ได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องมือเหล่านี้ได้ แต่ไม่ขอแนะนำเนื่องจากในการทำงาน ความเร็ว และประสิทธิภาพ คือสิ่งสำคัญ เพราะยิ่งใช้เวลาในการทำมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยืดเวลาที่เว็บไซต์ของเราจะมีโอกาสติดอันดับออกไปมากเท่านั้น
ใครที่อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถตามอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ : https://thekalling.com/tkl-blog/