ตำนาน ก็คือตำนาน เป็นเพียงเรื่องเล่า หรือความเชื่ออันไร้พิษภัยที่ถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น ตัวอย่างเช่น ฉลามไม่มีวันเป็นมะเร็ง หรือสายฟ้าไม่เคยผ่าซ้ำที่เดิมสองครั้ง
แต่น่าเสียดายที่เรื่องเล่าเหล่านั้น กับความเชื่อผิด ๆ ของ SEO ต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะสิ่งนี้ไม่เพียงสร้างความเข้าใจผิดเล็กน้อย แต่อาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้สูญเสียเวลาอันมีค่า รวมถึงเงินทุน และทรัพยากรไปฟรี ๆ โดยไม่ได้ส่งผลดี หรือผลักดันศักยภาพของบทความให้ดีขึ้นเลย
ซึ่ง 10 ความเชื่อผิด ๆ ของ SEO ที่ควรรู้ มีดังนี้ :
- การทำ SEO ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
- SEO สามารถทำแบบครั้งเดียวจบ
- Google มักดันหน้าเว็บที่มีคอนเทนต์สดใหม่เท่านั้น
- คีย์เวิร์ดที่ยาวมักติดอันดับง่ายกว่า
- การคัดลอกเนื้อหา หรือเขียนซ้ำจะถูกลงโทษ
- อิทธิพลจากโซเชียลมีเดียส่งผลต่อการจัดอันดับโดยตรง
- การซื้อโฆษณา PPC ไม่ช่วยให้อันดับดีขึ้น
- วิธีจัดอันดับเว็บไซต์ (Pagerank) ไม่จำเป็นอีกต่อไป
- SEO เป็นการทำเพื่อชิงอันดับเท่านั้น
- การวิจัยคีย์เวิร์ดไม่ใช่เรื่องสำคัญ
การทำ SEO ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
ผู้คนส่วนใหญ่มักขี้เกียจหาข้อเท็จจริง และป่าวประกาศว่าหลายสิ่งเป็นเรื่องที่ตายแล้วตามกันไป โดยอ้างอิงจากข้อมูลตัวสำรวจคอนเทนต์ของ Ahrefs มีการทำเนื้อหาเรื่องนี้ไปแล้วกว่า 3,367 ครั้งตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2016 ที่ผ่านมา
หากตีเป็นค่าเฉลี่ยก็ประมาณ 66 ครั้งต่อเดือน แต่ความจริงนั้น SEO ยังไม่ตาย ซึ่งรู้ได้จากผลการค้นหาทั่วไปโดยไม่มีโฆษณา หรือ Organic Search ในช่วงสามเดือนล่าสุด
แสดงให้เห็นว่ามีจำนวนการคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 2.1 ล้านครั้ง จากการทำ SEO ซึ่งตัวเลขนี้คงเป็นไปไม่ได้ หาก SEO ได้ตายไปแล้วจริง ๆ
แต่นอกจากเรื่องนี้ก็ยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ทำให้ผู้คนคิดว่า SEO นั้นไม่สำคัญ โดยข้อโต้แย้งที่พูดถึงกันมากที่สุด คือผลการค้นหาที่แสดงคำตอบเหมือนในภาพ
ถามว่าสิ่งนี้ส่งผลกระทบด้านลบต่อจำนวนการคลิกเข้าเว็บไซต์หรือไม่ คงต้องตอบว่ามีผลอย่างแน่นอน เพราะหากดูคำค้นหานี้ในฟังก์ชันสำรวจคีย์เวิร์ด บน Ahrefs เราจะเห็นจำนวนการกดคลิกเพียง 1,200 ครั้งเท่านั้นจากปริมาณการค้นหาต่อเดือนทั้งหมด 14,000 นั่นหมายความว่ามีการกดเข้ามาดูเพียง 8% เท่านั้น
แต่นี่ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ SEO หมดความสำคัญ เพราะเรายังคงได้รับการกดคลิกจากคีย์เวิร์ดเหล่านี้อยู่ อีกทั้ง Google ยังแสดงผลการค้นหาแบบนี้เฉพาะกับคีย์เวิร์ดแค่บางประเภทเท่านั้นด้วย
สรุปคือ ตราบใดที่ระบบ Search Engine ยังมีอยู่ และถูกใช้งาน ซึ่งก่อให้เกิดการค้นหาทั่วไปที่สามารถควบคุมได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง SEO ก็ไม่มีวันตาย และยังสำคัญต่อการทำบทความอยู่เช่นเดิม
SEO สามารถทำแบบครั้งเดียวจบ
การทำ SEO คล้ายกับการไปฟิตเนสที่บางครั้งเราก็มีแอบขี้เกียจบ้าง แต่หารู้ไม่ว่าสุดท้ายทุกอย่างที่ทำมาจะสูญเปล่าหากยังนั่งกินขนมอยู่บ้านต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งนี่เป็นตัวอย่างกราฟเมื่อเราเริ่มละเลยการดูแลคอนเทนต์ที่เคยทำมา
ซึ่งก่อนเกิดสิ่งนี้ เราได้มีการกลับเข้ามาปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบจริงจังอย่างสม่ำเสมอ แต่พอเริ่มทิ้งไปทำอย่างอื่น แล้วกลับมาดูอีกทีจะเห็นเลยว่า ค่า Traffic ค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ในช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยเหล่านี้
- เว็บของคู่แข่งได้แซงหน้าเราไปแล้ว จากการดูแล และปรับแต่ง SEO อย่างสม่ำเสมอ
- Backlink ที่เคยมีใช้งานไม่ได้แล้ว
- เนื้อหาคอนเทนต์เริ่มล้าหลัง ไม่อัปเดต
ด้วยเหตุนี้คนรับทำ SEO ส่วนใหญ่ถึงมีการคิดค่าบริการเป็นรายเดือน มากกว่าการคิดเป็นรายชั่วโมง หรือจ่ายแบบครั้งเดียว เพราะการดูแลต้องอาศัยความต่อเนื่อง และจำเป็นต้องลงทุนในระยะยาวเพื่อผลลัพธ์
หากถามว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับทุกเว็บไซต์หรือไม่ ตอบเลยว่า ไม่ โดยจะมีหน้าเว็บบางอันที่ไม่ดูแลมาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังคงมียอดการเข้าชมที่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเคสที่หาได้ยาก และนี่คือตัวอย่างเว็บที่ได้รับการอัปเดตล่าสุดตั้งแต่เมื่อปี 2554 แต่ยังมียอดการเข้าชมแบบธรรมชาติประมาณ 500 ครั้งต่อเดือน
Google มักดันหน้าเว็บที่มีคอนเทนต์สดใหม่เท่านั้น
การเขียนคอนเทนต์แล้วเผยแพร่ใหม่ เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งหากลองฟิลเตอร์หาเว็บไซต์ที่มีการโพสต์เนื้อหาใหม่ในฟังก์ชันสำรวจคอนเทนต์ Ahrefs จะพบว่ามีหน้าเว็บกว่า 136 อัน ทำการโพสต์ซ้ำไปแล้วนับตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งหากถามว่าทำไมถึงยังต้องพยายามอัปเดตเนื้อหาอยู่ตลอด ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด
นั่นก็เป็นเพราะว่า ความสดใหม่ ยังนับว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดอันดับอยู่ แต่จะขึ้นอยู่กับเรื่องในการค้นหาด้วย หมายความว่าในบางหัวข้อ เนื้อหาที่อัปเดตยังคงส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพคอนเทนต์ เนื่องจากตัว SEO มีการพัฒนาอยู่ตลอด เนื้อหาที่ตามทันเทรนด์จึงยังมีความจำเป็นสำหรับคำค้นหาอยู่เป็นจำนวนมาก
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ นี่คือผลลัพธ์ของการไม่ได้อัปเดตเนื้อหาในหัวข้อ “รายการค้นหายอดนิยมใน Google” มาเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่ควรได้รับการอัปเดตตลอดเวลา
โดยจะเห็นได้ว่ายอดการเข้าชมเว็บไซต์ลดลงอย่างต่อเนื่อง แล้วกลับมาดีอีกครั้งหลังจากที่ได้อัปเดตเนื้อหาใหม่ลงไปแล้ว นั่นก็เป็นเพราะว่า รายการค้นหายอดนิยมของ Google เป็นคอนเทนต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และผู้เยี่ยมชมที่เข้ามาดูก็ต้องการข้อมูลที่สดใหม่นั่นเอง
ในทางกลับกัน การอัปเดตก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับหัวข้อที่มีข้อมูลตายตัว เช่น วิธีผูกเนกไท เนื่องจากขั้นตอนในการทำยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป จึงเป็นเหตุผลที่ Google ยังคงดันเว็บไซต์ให้อยู่ในอันดับต้น ๆ ทั้งที่เนื้อหาอัปเดตล่าสุดก็นานมาแล้วตั้งแต่เมื่อปี 2013 นั่นเอง
คีย์เวิร์ดที่ยาวมักติดอันดับง่ายกว่า
คนส่วนใหญ่มักคิดว่า Long-Tail Keywords หรือคีย์เวิร์ดที่เป็นกลุ่มคำ จะประกอบไปด้วยคำหลายคำทำให้ติดอันดับง่ายกว่า ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่จำเป็นเลย เพราะคีย์เวิร์ดที่ยาวหลายอันก็มี Volume การค้นหาที่น้อย ดังนั้นจำนวนคำจึงไม่ได้ส่งผลอะไรเลย
แต่มีจุดน่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง คือถึงแม้ว่า Long-Tail Keyword จะมีปริมาณการค้นหาน้อยต่อเดือน แต่อันที่ได้รับความนิยมมากกว่ากลับมีค่า Keyword Difficulty หรือระดับความยากของคีย์เวิร์ดในการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ ที่มากกว่านั่นเอง อ้างอิงจากตัวอย่างด้านล่างนี้
จะเห็นว่าถึงแม้ปริมาณการค้นหาต่อเดือนจะต่างกันมาก แต่คะแนนความยากกลับใกล้เคียงกัน นั่นก็เป็นเพราะว่าอันที่มีการค้นหาน้อย เรามักเรียกมันว่า “คีย์เวิร์ดซัพพอร์ต” หรือพูดอีกแบบคือ เป็นวิธีค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำหลักที่คนสนใจในอีกรูปแบบที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนั่นเอง
ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจัดอันดับคีย์เวิร์ดเหล่านี้ เนื่องจาก Google มักจัดอันดับคำไว้ด้วยกันโดยใช้เกณฑ์ในรูปแบบของ “คำหลัก” เหมือนกันนั่นเอง
แต่ ณ ตอนนี้มีอีกประเภทหนึ่งของคีย์เวิร์ดที่จัดอันดับได้ง่ายกว่าออกมา เรียกว่า “คีย์เวิร์ดเฉพาะ” โดยสามารถทำความรู้จักกับคีย์วเวิร์ดชนิดนี้เพิ่มเติมได้ที่บทความคำแนะนำ Long-Tailed Keywords
การคัดลอกเนื้อหา หรือเขียนซ้ำจะถูกลงโทษ
คอนเทนต์ซ้ำ คือคอนเทนต์ที่มีเนื้อตรงกัน หรือคล้ายกัน แต่ปรากฏอยู่ในหน้าเว็บมากกว่าหนึ่งแห่ง ยกตัวอย่างเช่น สอง URL นี้ต่างก็นำทางไปหาบล็อกโพสต์แบบเดียวกัน :
https://buffer.com/library/social-media-manager-checklist/
https://buffer.com/resources/social-media-manager-checklist/
ซึ่ง Google เคยประกาศไว้แล้วว่าไม่มีการลงโทษสำหรับการทำเนื้อหาซ้ำ แต่ความเข้าใจผิดนี้ก็ยังคงมีมาอยู่เรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะไม่มีบทลงโทษ แต่การเขียนซ้ำก็อาจส่งผลกระทบ และทำให้เกิดปัญหา SEO ได้ เช่น
- เกิด URL ไม่พึงประสงค์ และไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน
- Backlink ไม่ได้ประสิทธิภาพ
- สิ้นเปลืองงบประมาณรวบรวมข้อมูล
- หน้าเว็บที่คัดลอกมีอันดับสูงกว่า
ถ้าหากกังวลว่าตอนนี้เรามีหน้าเว็บที่เนื้อหาซ้ำกันอยู่หรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ใน Ahrefs Site Audit แล้วกดไปที่ Duplicate Content เพื่อดูรีพอร์ตรายการ หากเห็นว่ามีอันไหนซ้ำ หรือใกล้เคียงกันอยู่ ก็ควรหาเวลามาปรับแก้ให้ดีขึ้น
อิทธิพลจากโซเชียลมีเดียส่งผลต่อการจัดอันดับโดยตรง
คนส่วนใหญ่มักสันนิษฐานว่าคอนเทนต์ที่มียอดแชร์บนโซเชียลมีเดียเยอะ เช่นใน Facebook, Twitter หรือ Pinterest เป็นเหมือนเครื่องแสดงว่าคอนเทนต์นั้นเขียนออกมาได้ดี มีคุณภาพ และน่าสนใจ จึงส่งผลให้มีการจัดอันดับสูง
แต่รู้หรือไม่ จากข้อมูลในคลิปของ John Mueller ได้บอกไว้ว่าอิทธิพลจากโซเชียลไม่ได้ส่งผลต่อการจัดอันดับขนาดนั้น ซึ่งอาจเป็นเพราะยอดการเข้าชมในโซเชียลเป็นเรื่องที่คุมง่ายมาก โดยอาจมาจากการซื้อยอดวิว หรือยอดแชร์ด้วยการจ่ายเงินเพียงไม่กี่เหรียญนั่นเอง
แต่ในทางกลับกัน หากโซเชียลมีเดียไม่ส่งผลต่อการจัดอันดับจริง แล้วทำไมถึงมีผลการศึกษาจำนวนมากที่แสดงว่ายอดแชร์ส่งผลการจัดอันดับอยู่
จึงสรุปได้ว่ายังไม่มีข้อเท็จจริงที่แน่ชัดสำหรับเรื่องนี้ แต่ถ้าให้พูดถึงปัจจัยที่เป็นไปได้มากที่สุด ว่าทำไมอิทธิพลจากโซเชียลมีเดียถึงส่งผลต่อการจัดอันดับ จะมีอยู่ 2 อย่าง คือ
- ยอดแชร์ที่มากขึ้น ช่วยเปิดการมองเห็น และนำไปสู่การใช้งาน Backlink ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่ออันดับ
- หน้าเว็บที่อันดับดีบน Google จะมียอดการเยี่ยมชมมากขึ้น และบางคนในนั้นก็มีการนำไปแชร์ลงบนโซเชียลมีเดียของตัวเองด้วย
การซื้อโฆษณา PPC ไม่ช่วยให้อันดับดีขึ้น
ถ้าจะให้อธิบายอย่างชัดเจนเลยก็คือ การซื้อ ads ใน Google ไม่ส่งผลต่อการจัดอันดับโดยตรง ซึ่ง Google จะไม่ช่วยดันคอนเทนต์ของเราจากการจ่ายเงินเพียงเท่านั้น แต่ในทางกลับกันการทำ PPC ads หรือ Pay Per Click ยังแอบส่งผลทางอ้อมต่ออันดับได้อยู่ เนื่องจากช่วยเพิ่มการใช้งานตัว Backlink ได้
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น จากการลองใช้เงิน 1,246 ดอลลาร์สหรัฐซื้อ Google ads เพื่อสร้างลิงก์กลับมายังหนึ่งในบล็อกโพสต์ผลปรากฏว่าได้ Backlink มาจากเว็บไซต์ใหม่ 11 แห่งจริงตามผลลัพธ์ดังภาพ
แต่ต้องบอกก่อนว่าการทำจำเป็นต้องอาศัยเทคนิค และกลยุทธ์ต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ PPC ads แล้วจะได้ผลลัพธ์แบบนี้เลย ซึ่งเราได้แนบวิดีโอให้ความรู้เรื่องนี้เอาไว้เรียบร้อย ใครอยากรู้ก็สามารถไปตามกันได้ :
วิธีจัดอันดับเว็บไซต์ (Pagerank) ไม่จำเป็นอีกต่อไป
Pagerank หรือวิธีจัดลำดับความสำคัญของเว็บไซต์ทั่วโลก เปรียบเสมือนรากฐานของ Google ที่กำหนดไว้ตั้งแต่ 0 ถึง 10 โดยอ้างอิงจากคุณภาพ และปริมาณของ Backlink เพื่อวัดคุณภาพของเว็บไซต์ ยิ่งตัวเลขสูง ก็หมายความว่าหน้าเว็บนั้นมีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า ซึ่งทาง Google ก็ได้ออกมายืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า Pagerank ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดอันดับอยู่
แต่หลังจากที่ Google ยกเลิกการแสดงคะแนน Pagerank แบบสาธารณะในปี 2016 จึงทำให้หลายคนคิดว่าการทำ SEO ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงตัวชี้วัดนี้แล้ว
ซึ่งสามารถเข้าใจได้ว่าผู้คนมักไม่ให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดที่มองไม่เห็น แต่ในทางกลับกัน PageRank ยังคงส่งผลต่อการจัดอันดับอยู่ ซึ่งหมายความว่าการได้รับ Backlink กลับมายังเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพยังคงเป็นเรื่องที่จำเป็น
โดยข้อเท็จจริงนี้ยังสามารถอ้างอิงได้จากข้อมูลคะแนน URL (UR) บน Ahrefs ที่สัมพันธ์ต่อปริมาณการค้นหา
สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย หรือรู้จักมาก่อน UR คือตัวชี้วัดระดับของเว็บไซต์ที่ใช้บน Ahrefs โดยมีหลักการทำงานคล้ายคลึงกับ Pagerank ของ Google แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เครื่องมือเดียวกันนั่นเอง
SEO เป็นการทำเพื่อชิงอันดับเท่านั้น
ทุกคนต้องการอันดับที่ดี ซึ่งเกิดจากความเชื่อที่ว่าถ้าหน้าเว็บติดอันดับ 1 เท่ากับได้ยอดเข้าชมเว็บไซต์มากที่สุด แต่ความจริงไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป จากผลการศึกษากว่า 10,000 เคส พบว่าหน้าเว็บอันดับสูงสุดได้ส่วนแบ่งยอดการค้นหาเพียง 49 % จากทั้งหมดเท่านั้น
ที่เป็นแบบนี้เนื่องจากหน้าเว็บส่วนใหญ่ได้ยอดการเข้าชมจากคีย์เวิร์ดหลายคำ ยกตัวอย่าง หน้าเว็บ Top อันดับของคำค้นหา “อาหารที่มีโปรตีนสูง” จะเห็นว่าเว็บไซต์ที่ได้อันดับสองมียอดการเยี่ยมชมมากกว่าอันดับ 1 เนื่องจากมีการใส่คีย์เวิร์ดที่มีความต้องการในการค้นหามากกว่านั่นเอง
ดังนั้นบทสรุปที่ได้คือ ควรหยุดโฟกัสไปที่การทำให้หน้าเว็บติดอันดับ 1 เพียงอย่างเดียว แต่ควรหันกลับมาใส่ใจยอดการเยี่ยมชมเว็บไซต์ดีกว่า ซึ่งมีวิธีพื้นฐานดังนี้
- เขียนเนื้อหาออกมาให้ครอบคลุมในหัวข้อที่กำหนดมากที่สุด
- ทำ Backlink ทุกครั้ง เพื่อเพิ่มระดับให้กับเว็บไซต์
- รู้ Search intent หรือจุดประสงค์ของผู้ใช้งานว่าต้องการค้นหาเรื่องอะไร และเพื่ออะไร
การวิจัยคีย์เวิร์ดหลักไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เนื่องจากหน้าเว็บส่วนใหญ่มีการใช้คีย์เวิร์ดมากกว่าหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะคิดว่าการวิจัยคีย์เวิร์ดหลักเพียงคำเดียวไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะถึงอย่างไรก็ได้รับยอดการเยี่ยมชมจากคีย์เวิร์ดมากมายที่อยู่บนเว็บไซต์อยู่เเล้ว ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิด เนื่องจากค่าความนิยมของคีย์เวิร์ดหลัก สอดคล้องกับศักยภาพการค้นหาโดยรวมแบบเต็ม ๆ โดยสามารถดูตัวอย่างจากคีย์เวิร์ดสองคำด้านล่างนี้
เราจะเห็นว่าคีย์เวิร์ดที่สองมียอดการค้นหาน้อยกว่าอันแรกถึงเท่าตัว และหากมองไปถึงยอดการเยี่ยมชมโดยประมาณของเว็บไซต์อันดับต้น ๆ สำหรับคีย์เวิร์ดสองคำนี้จะเห็นว่า เว็บที่ใช้คำที่มียอดการค้นหาดีกว่าจะได้จำนวน Organic Traffic หรือยอดการเข้าชมเว็บดีกว่านั่นเอง
นอกจากนี้การค้นคว้าคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับเนื้อหายังช่วยให้มั่นใจว่าเราได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บสำหรับการค้นหาในหัวข้อนั้น ๆ อย่างดีที่สุดแล้ว ซึ่งมีความสำคัญหากต้องการดึงดูดให้คนกดคลิกเพื่อเพิ่มยอดเข้าชมแบบ Organic ให้หน้าเว็บมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สรุป
ถ้าถามว่าบทความนี้ได้รวบรวมหัวข้อที่ผู้คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำ SEO มาครบแล้วหรือยัง ต้องบอกก่อนว่ายังเหลือเรื่องเข้าใจผิดอยู่อีกมาก ซึ่งนี่เป็นเพียงการยกประเด็นที่พบเห็นบ่อยมาเล่าสู่กันฟังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO พื้นฐานให้ทุกคนเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากอยากให้การทำเว็บไซต์ประสบความสำเร็จและคอนเทนต์ได้รับความสนใจ แนะนำว่าต้องศึกษาข้อมูล และความรู้ด้าน SEO ให้ครบถ้วน จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ มีงานวิจัยหรือมีตัวอย่างรองรับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด และลบล้างความเชื่อผิด ๆ ของการทำ SEO ออกไป
ใครที่อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถตามอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ : https://thekalling.com/tkl-blog/