รู้หรือไม่ ? เทคนิคการผสมผสานระหว่าง SEO และ Copywriting ไม่เพียงช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงบน Google แต่ยังกระตุ้นยอดขายได้ดีอีกด้วย โดยบทความนี้เราจะมาเรียนรู้กันว่าการเขียน SEO Copywriting คืออะไร และควรทำอย่างไรให้งานเขียนออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุดตามหัวข้อดังนี้
- SEO Copywriting คืออะไร ?
- เพราะเหตุใดการเขียน SEO Copywriting ถึงมีความสำคัญ ?
- วิธีการทำ SEO Copywriting
- เคล็ดลับการเขียน SEO Copywriting เพิ่มเติม
- รวมเครื่องมือใช้ทำ SEO Copywriting
- FAQ คำถามที่พบบ่อย
SEO Copywriting คืออะไร ?
SEO Copywriting คือการเขียน และสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพที่สามารถดึงดูดทั้งอัลกอริทึมของ Google และผู้ใช้งาน หรือพูดง่าย ๆ คือการออกแบบเนื้อหา และเขียนออกมาให้ตรงกับความต้องการของผู้คน เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นอยากที่จะเข้ามาดู ทำการลิงก์กลับมา หรือแชร์ออกไป โดยมีความคาดหวังว่าเนื้อหานี้จะได้รับการจัดอันดับที่ดีบน Google ในเวลาเดียวกันนั่นเอง
เพราะเหตุใดการเขียน SEO Copywriting ถึงมีความสำคัญ ?
บทความที่มียอดการค้นหาสูงแต่ไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจนั้นไร้ความหมาย เหมือนกับเนื้อหาที่น่าสนใจแต่ไม่มีใครเข้ามาดู
แต่หากเราสามารถผสมผสานการทำ SEO พื้นฐาน บวกกับเทคนิคการเขียนที่ดีเข้ากันได้สำเร็จ การสร้างเนื้อหาที่ได้รับการจัดอันดับสูงบนเครื่องมือค้นหานั้นบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องยาก อีกทั้งยังสามารถดึงดูดผู้อ่านให้เข้ามาบริโภคคอนเทนต์ของเรา จนเกิดแชร์ หรือยอดการสั่งซื้อสินค้าได้นั่นเอง
โดยต่อไปจะมาพูดถึงวิธีที่เว็บไซต์ Ahrefs มีการใช้งานจริง และสามารถเพิ่มยอดการค้นหาได้ถึง 2.4 ล้านครั้งต่อเดือน พร้อมสร้างรายได้ประจำปีได้ถึง 8 หลัก ซึ่งจะมีวิธีการทำอย่างไรบ้างมาดูไปพร้อมกันเลย
วิธีการทำ SEO Copywriting
ประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนด้วยกัน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การค้นคว้า
เป็นขั้นตอนการคิดเกี่ยวกับแพลน หรือสิ่งที่อยากเขียนออกมา โดยมีเทคนิคการทำดังนี้
1. เริ่มต้นด้วยการวิจัยคีย์เวิร์ด
หากต้องการยอดค้นหา ก็จำเป็นต้องเลือกเขียนเกี่ยวกับหัวข้อที่ผู้คนกำลังสนใจ ดังนั้นก่อนจะเริ่มจับปากกา ต้องอย่าลืมทำรายการหัวข้อเพื่อกำหนดเป้าหมายเสียก่อน
วิธีการหาหัวข้อมีดังนี้
- เข้าไปที่ Keyword Explorer ของ Ahrefs
- ใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องลงไป
- คลิกไปดูรีพอร์ตที่ Matching terms
ดูรายการ และค้นหาคีย์เวิร์ดเกี่ยวข้องที่สามารถนำมาใช้ได้ ยกตัวอย่างเช่น คำหลักนี้จะเหมาะสำหรับใช้ทำคอนเทนต์สินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องนอน เป็นต้น
2. ทำเนื้อหาออกมาให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การค้นหา
Google มักจัดอันดับให้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องเท่านั้น และคนส่วนใหญ่มักค้นหาเนื้อหาประเภทใดประเภทหนึ่งจากหัวข้อเหล่านี้
- โพสต์บล็อก
- วิดีโอ
- หน้าสินค้า
- หน้าหมวดหมู่
- เครื่องมือต่าง ๆ
ดังนั้นหากต้องการได้รับโอกาสในการจัดอันดับที่ดี ก็ต้องทำคอนเทนต์ออกมาให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การค้นหานั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น หากเราดูที่ SERP overview สำหรับการค้นหา “วิธีการนอนหลับให้ดีขึ้น” จะเห็นได้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ถูกจัดทำออกมาในรูปแบบโพสต์บล็อก
ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่เราต้องโฟกัส หากต้องการทำคอนเทนต์ในหัวข้อเดียวกัน
3. สร้าง outline โดยอ้างอิงจากข้อมูล
ทุกหัวข้อหลักมักประกอบไปด้วยหัวข้อย่อยเสมอ ยิ่งรวบรวมหัวข้อย่อยที่เกี่ยวข้องได้มากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับการจัดอันดับจากคีย์เวิร์ด และจำนวนการเข้าชมที่มากขึ้นเท่านั้น
โดยสามารถค้นหาหัวข้อย่อยเหล่านี้ได้โดยดูจากการจัดอันดับคีย์เวิร์ดทั่วไปในหน้าอันดับสูงสุด ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีสำหรับการสร้าง ouline ซึ่งมีขั้นตอนการค้นหาดังนี้
- ไปที่ Keyword Explorer ของ Ahrefs
- ใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการลงไป
- เลื่อนไปที่หน้า SERP overview
- ดูหน้าเว็บที่ติดอันดับ
- กดไปที่ Open in แล้วเลือก Content Gap
เมื่อกดแล้วจะเปิดหน้ารายงาน Content Gap ขึ้นมา ซึ่งจะแสดงผลการจัดอันดับคีย์เวิร์ดในหน้าเว็บเหล่านั้น แล้วทำการมองหาหัวข้อย่อยที่คิดว่าสามารถนำไปใช้งานได้
ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการทำคอนเทนต์ออกมาให้ครอบคลุมกับหัวข้อ “วิธีการนอนหลับให้ดีขึ้น” การดูจากผลลัพธ์เหล่านี้อาจช่วยให้เราได้ไอเดียที่ดีในการทำ Heading 2 ได้ เช่น
- จำเป็นต้องนอนหลับกี่ชั่วโมง
- สุขอนามัยที่ดีในการนอนหลับ
- ชั่วโมงการนอนหลับตามอายุ
- วิธีการหลับลึก
- เคล็ดลับการนอนหลับ เป็นต้น
4. สร้างสรรค์เนื้อหาที่มีความโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์
หากคอนเทนต์ที่ทำออกมาเหมือนกับคนอื่น ๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้คนกดคลิกเข้ามาเพื่อดู หรืออ่านอะไรที่ซ้ำกันนั่นเอง
SEO Copywriting คือความสมดุลระหว่างการเขียนสิ่งที่ผู้คนต้องการค้นหา กับการใช้คำที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เนื้อหาของเราเป็นต้นฉบับ หรือเป็นเอกลักษณ์ได้มากขึ้น คือการเขียนจากประสบการณ์จริงของตัวเอง
เนื่องจากผู้คนมักต้องการคำแนะนำ และเคล็ดลับที่ผ่านการทดสอบว่าเห็นผลเเล้วในชีวิตจริง ไม่ใช่การแนะนำเพียงผิวเผินทั่วไป ซึ่ง Google เองก็เห็นด้วยกับสิ่งนี้ จึงได้เปิดตัว E-E-A-T ออกมา โดยที่อักษร E ตัวแรกหมายถึง Experience จากคำว่าประสบการณ์นั่นเอง
ดังนั้นหากต้องการทำคอนเทนต์คำแนะนำเกี่ยวกับการนอนหลับ ก็ควรทดลองเคล็ดลับเหล่านั้นดูก่อนว่าได้ผลจริงหรือไม่ ยกตัวอย่างหัวข้อเกี่ยวกับ การเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ โดยเขียนจากประสบการณ์จริง เป็นต้น
5. เข้าถึงประเด็นด้วยวิธี “พีระมิดกลับหัว”
บางคนเพียงอยากรู้ว่ากระทะที่ใช้งานแล้วไม่ติดรุ่นไหนดีที่สุด ซึ่ง Wirecutter ก็สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนี้ได้
แต่สำหรับคนอื่น ๆ อาจจะต้องการบริบทอะไรที่มากกว่านั้น
โดยรูปแบบนี้ถูกเรียกกันว่า พีระมิดกลับหัว ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เราต้องให้ข้อมูลในส่วนสำคัญก่อนจุดอื่น ๆ นั่นเอง
แต่จากมุมมองของ SEO การเขียนถึงประเด็นสำคัญ และให้ข้อมูลในสิ่งที่ผู้อ่านต้องการรู้ทันที อาจลดค่า pogo-sticking และเพิ่มค่า dwell time ได้
ยกตัวอย่างเช่น มีการกำหนดคำว่า “การสร้างเนื้อหาดิจิทัล” และให้ข้อมูลสำคัญในช่วงเริ่มของบทความเลย เป็นต้น
6. สร้างหลักฐาน และความน่าเชื่อถือ
Google รู้ดีว่าผู้ชมส่วนใหญ่ต้องการข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญจริง จึงเป็นเหตุผลที่ Google เปิดตัว EEAT ออกมา โดย E ตัวที่สองหมายถึง Expertise หรือความเชี่ยวชาญ นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นปัจจัยที่ไม่ได้ส่งผลต่อการจัดอันดับโดยตรง แต่ Google ก็มีการใช้ปัจจัยเหล่านี้ในการประเมินคุณภาพของผลการค้นหาด้วย
ดังนั้นสิ่งสำคัญ คือการสร้างหลักฐาน และความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาที่เรากำลังพูดถึง ยกตัวอย่างเช่น บทความของ Wirecutter ที่มีการเพิ่มหัวข้อ “ทำไมถึงควรเชื่อใจเรา” เข้าไปด้วย
แต่ถ้าหากเราไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียน ก็อาจลองสัมภาษณ์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ได้ ยกตัวอย่าง นี่คือสิ่งที่ควรทำเมื่อเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับบทลงโทษของ Google นั่นเอง
ด้านล่าง คือวิธีค้นหาผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อต่าง ๆ
- ไปที่ฟังก์ชัน Content Explorer ของ Ahrefs
- ป้อนหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา
- ไปที่แท็บ “ผู้เขียน”
และนี่คือตัวอย่างรายชื่อของผู้เขียนที่ได้เผยแพร่เกี่ยวกับหัวข้อนี้
ขั้นตอนที่ 2 การเขียน Draft
นักเขียนทุกคนมักมีสไตล์การเขียนเป็นของตัวเอง แต่ก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือการให้ความรู้ ความบันเทิง และสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้อ่าน เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นมีโอกาสเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าของเรา
โดยนี่คือทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ในการเขียน SEO Copywriting ได้
1. จับใจ และดึงดูดผู้อ่านด้วยสูตร PAS
บทนำจะต้องมีความน่าดึงดูด และทำให้ผู้ที่เข้ามาเห็นสนใจอยากอ่านต่อในส่วนที่เหลืออื่น ๆ ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้สูตร Problem-Agitate-Solution หรือ PAS นั่นเอง
ขั้นแรก เริ่มจากการกำหนดปัญหาก่อน
จากนั้นให้เพิ่มประเด็นเข้าไปมากยิ่งขึ้น
สุดท้ายให้บอกวิธีแก้ปัญหา
2. ใช้ “bucket brigades” เชื่อมโยงให้ผู้อ่านอ่านต่อไป
bucket brigades เป็นคำ และวลีเฉพาะที่ใช้เพื่อให้ผู้อ่านอ่านต่อไปยังส่วนอื่น โดยใช้ประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็น และตั้งใจปล่อยให้เกิดความสงสัยนั่นเอง
โดยนี่คือตัวอย่างจากงานเขียนชิ้นหนึ่ง
3. ทำให้เนื้อหามีประโยชน์มากขึ้น จากการเพิ่มส่วนคำถามที่พบบ่อย
ทั่วไปแล้วผู้คนมักเกิดความสงสัยเมื่อค้นหาหัวข้อต่าง ๆ โดยอาจเกิดคำถามที่เกี่ยวข้องมากมาย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องยากที่จะตอบคำถามทั้งหมด
ดังนั้นเพื่อที่จะแก้ปัญหา และข้อสงสัยเหล่านี้ จึงต้องจัดทำในส่วน FAQ ขึ้นมา เพราะการตอบคำถามยอดนิยมในหน้าเว็บต่าง ๆ สามารถเพิ่มอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดแบบยาวให้กับเราได้ ยกตัวอย่างการจัดทำคำถามเกี่ยวกับ H1 ดังภาพ
เนื่องจากมีการทำในส่วนถามตอบของคำถามทั่วไป ตอนนี้หน้าเว็บไซต์จึงติดอันดับใน Google เมื่อมีผู้คนค้นหาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้นั่นเอง
ซึ่งมีวิธีการค้นหาคำถามที่พบบ่อยดังนี้
- ไปที่ฟังก์ชัน Keyword Explorer
- ใส่หัวข้อที่ต้องการลงไป
- ไปที่รายงานผลของ Matching terms
- สลับไปที่แถบ “คำถาม”
ขั้นตอนที่ 3 การแก้ไข
ขั้นตอนสุดท้ายคือ การปรับปรุงฉบับร่าง และตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เขียนสิ่งที่ต้องการสื่อสารลงไปครบทุกหัวข้อแล้ว โดยมีคำแนะนำดังนี้
1. ตั้งค่าการแสดงผลอันดับ 0 หรือ Featured Snippets ให้เหมาะสม
Featured Snippets คือฟังก์ชันการให้คำตอบที่รวดเร็วในผลการค้นหา ที่ Google ดึงข้อมูลมาจากเว็บไซต์ติดอันดับท็อป 10
เป็นเหมือนทางลัดที่ช่วยให้หน้าเว็บติดอันดับอย่างรวดเร็ว หากข้อมูลจากเว็บไซต์ของเราสามารถไปปรากฏอยู่บน Featured Snippets ได้ ดังนั้นจึงควรวางแผน แล้วตรวจสอบดูว่ามี Snippets ในคำหลักที่เราใช้หรือไม่ และต้องทำอย่างไรถึงจะไปแสดงผลบนนั้นได้
ยกตัวอย่างเช่น หากค้นหาคำว่า “Marketing Funnel” เราจะพบว่า Google แสดงผลคำจำกัดความขึ้นมาดังนี้
ดังนั้นหากต้องการให้ข้อมูลไปแสดงผลบน snippets ก็จำเป็นต้องใส่ความหมายเกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ ก่อน เหมือนตัวอย่างดังภาพ
2. เขียนตามสไตล์ของตัวเอง
ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเลิกสนใจ หรือหยุดอ่านได้มากกว่าคอนเทนต์แห้ง ๆ ที่ใช้คำพูดน่าเบื่อ หรือจืดชืดในโทนองค์กร และคำศัพท์ที่ไร้ความหมายอีกแล้ว นอกจากนี้การใช้ภาษาที่ฟังดูซับซ้อนเข้าใจยากอาจทำให้ผู้อ่านตัดสินใจกลับออกไปได้
ดังนั้นภาษาการเขียน คือพื้นฐานของเว็บไซต์ที่ดี โดยให้ลองจินตนาการว่าเรากำลังคุย หรือสนทนากับเพื่อนผ่านทางออนไลน์อยู่
หากมีความกังวลว่าภาษาเขียนไม่มีความสละสลวย หรือดูทื่อเกินไป สามารถนำไปวางบน Hemingway เพื่อตรวจสอบคะแนน รวมถึงมีการบอกข้อควรรปรับปรุงให้รู้ด้วย
3. ทำให้อ่านง่ายขึ้นจากการแก้ไขเนื้อหาด้วยสูตร ASMR
การอ่านเปรียบเสมือนการทำธุรกรรม ที่ผู้อ่านแลกเวลากับการอ่านบทความของเรา ดังนั้นหากเข้ามาอ่านแล้วรู้สึกเบื่อ พวกเขาก็อาจกดปุ่มย้อนกลับออกไปจากหน้าเว็บของเราได้
ดังนั้นจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าคอนเทนต์ของเราอ่านได้อย่างสบายตา โดยสามารถปรับตามสูตร ASMR
ขั้นแรกให้เพิ่มคำอธิบายประกอบ รวมถึงองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น sidenote, quotes ต่าง ๆ และการแปะลิงก์โซเชียลมีเดียต่าง ๆ ลงไปเพื่อเพิ่มสีสันให้แก่บทความ
ต่อมาให้ใช้ประโยค และย่อหน้าสั้น ๆ โดยการตัดแบ่งประโยคที่ยาวด้วยคำเชื่อมต่าง ๆ เช่น ‘และ’ หรือ ‘นั่น’ ให้เป็นประโยคสั้น ๆ แทน
จากนั้นให้แทรกมัลติมีเดีย เช่น วิดีโอ รูปภาพ และ GIFs ต่าง ๆ ลงไป เพื่ออธิบายประเด็นที่อยากให้เห็นภาพมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้การเขียน หรือคำพูดเพิ่มเติม
ขั้นตอนสุดท้ายลองอ่านสิ่งที่เขียนลงไปแบบออกเสียง ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าจุดไหนที่อ่านแล้วรู้สึกว่าสะดุด หรือไม่ไหลลื่นนั่นเอง
เคล็ดลับการเขียน SEO Copywriting เพิ่มเติม
ซึ่งเคล็ดลับเหล่านี้สามารถยกระดับเนื้อหาของเราได้
1. ใส่สารบัญเข้าไป
ผู้อ่านที่เข้ามามักต้องการรู้ว่าบทความของเราครอบคลุมหัวข้อที่พวกเขาต้องการค้นหาหรือไม่ ซึ่งเราสามารถช่วยให้ผู้ชมที่เข้ามารู้ได้ทันทีจากการเพิ่มสารบัญเข้าไปที่ช่วงต้นของบทความ
ซึ่งจะช่วยนำทางผู้อ่านไปยังส่วนที่พวกเขาต้องการ เมื่อพวกเขาเริ่มอ่านคอนเทนต์ ก็จะเริ่มติดอยู่ที่หัวข้อที่ตัวเองสนใจก่อน หลังจากนั้นก็อาจเริ่มอ่านไปยังส่วนอื่น ๆ ที่เหลือนั่นเอง
นอกจากนี้การเพิ่มสารบัญยังมีส่วนช่วยสร้าง Sitelink ให้กับเว็บไซต์ของเราด้วย ซึ่งบางครั้ง Google ก็นำไปแสดงผลบน SERPs และนำไปสู่การเพิ่มจำนวนการคลิกได้
2. รับคลิกมากขึ้นด้วยการสร้างแท็กชื่อที่น่าสนใจ
Title tag หรือแท็กชื่อ คือสิ่งที่ผู้ค้นหาเห็นเป็นอย่างแรก ดังนั้นจึงต้องมีการคิด และใช้คำให้น่าสนใจ เพื่อดึงดูดให้คนกดคลิกเข้ามานั่นเอง
โดยสามารถใช้เครื่องมือในการสร้างแท็กฟรีง่าย ๆ ด้วย title tag generator จากการเพิ่มข้อความ เลือกโทน และกดคลิกที่ “สร้างชื่อเรื่อง” ได้เลย
หลังจากนั้นจะได้รับแท็กชื่อที่แนะนำมาให้ โดยสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้
รวมเครื่องมือใช้ทำ SEO Copywriting
เครื่องมือก็เหมือนเป็นเพื่อนของ SEO Copywriting ที่ช่วยให้เราสามารถทำงานออกมาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยนี่คือเครื่องมือต่าง ๆ ที่เราอยากแนะนำ
- Ahrefs – เครื่องมือ SEO แบบครบวงจรที่ช่วยให้สามารถค้นหาคีย์เวิร์ดเพื่อกำหนดเป้าหมาย และแนวคิดเกี่ยวกับเนื้อหาได้ จากการค้นหาผู้อ่านที่ต้องการเข้าถึง ค้นคว้าคู่แข่ง ติดตามอันดับของเว็บไซต์ และอื่น ๆ
- Google Search Console – ช่วยตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของเราถูกจัดอันดับด้วยคีย์เวิร์ดที่เลือกมา และได้รับการเข้าชมจากคำเหล่านั้นหรือไม่
- Ahrefs’ free AI writing tools – ชุดเครื่องมือจัดทำเนื้อหาด้วย Ai ที่ช่วยค้นหาแนวคิดเกี่ยวกับการเขียน outline, พารากราฟ, Title Tag, Meta Descriptions และส่วนอื่น ๆ
- Grammarly – ช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดด้านไวยากรณ์ ปรับปรุงความชัดเจนของเนื้อหา และการเขียนให้ดีขึ้น
- Hemingway – ช่วยให้ปรับปรุงคอนเทนต์ให้อ่านเข้าใจง่าย และสบายตามากยิ่งขึ้น
- ChatGPT – ช่วยให้ไอเดียในการสร้างโครงร่าง การสรุปเนื้อหา การพิสูจน์อักษร รวมถึงการสร้างชื่อแท็ก, Meta Descriptions และอื่น ๆ อีกมากมาย
FAQ คำถามที่พบบ่อย
อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างการเขียน SEO, การเขียน SEO copywriting และการเขียน Copy writing ธรรมดา ?
คำตอบ : การเขียน SEO กับ SEO copywrtiing นั้นเหมือนกัน เพราะการเขียน Copywriting คือการเขียนคำโฆษณาเพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนเกิดการกระทำบางอย่าง เช่น การซื้อ หรือลงทะเบียนเพื่อรับจดหมายข่าวนั่นเอง
สรุป
SEO ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อใช้ในการจัดอันดับเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำให้ผู้อ่านที่เข้ามาเกิดความสนใจ แชร์ และลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเราด้วย
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการเขียน Copywriting ถึงมีความสำคัญ เพราะคงไม่มีใครอยากอ่านเนื้อหาที่ไร้คุณภาพ ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าเว็บที่ติดอันดับดีก็ตาม
ใครที่อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถตามอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ : https://thekalling.com/tkl-blog/