How to create Internal links in website

เทคนิคใหม่ปี 2023 การสร้าง Internal Links อย่างไรให้ส่งผลดีต่อ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับท็อปบน Google ได้

Internal Links เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับความสำเร็จสำหรับการทำ SEO ของเว็บไซต์ นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ได้ง่าย ๆ ซึ่งในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับลิงก์ภายในว่าคืออะไร มีวิธีการสร้างและใช้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าพร้อมแล้วไปเรียนรู้ด้วยกันเลย

เนื้อหาภายในบทความ

คือ ลิงก์ที่มีการเชื่อมโยงจากเพจหนึ่ง มายังเพจหนึ่งในเว็บไซต์ของคุณเอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าเยี่ยมชมใช้เวลาบนเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้น และสามารถไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คลิกลิงก์เชื่อมโยงภายใน นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO ให้ดียิ่งขึ้นมากกว่าเดิม

รูปภาพด้านล่างงนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะการทำงานของลิงก์ภายใน

Link to Important Pages

โดยลักษณะของ Internal Links ในโค้ด HTML มีลักษณะดังนี้

<a href="https://example.com/">Internal Linking</a>

ลิงก์ภายในนี้ สามารถใช้ดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์จากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่งได้ ซึ่งลิงก์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญมากสำหรับนำไปใช้ในการปรับปรุงทางด้าน SEO ของเว็บไซต์

ในวิดีโอ “Google SEO Office-hour” คุณ John Mueller ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ใช่ แน่นอน…การเชื่อมโยงภายในเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ SEO เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ใหญ่ที่สุด ที่คุณสามารถทำได้ เพื่อแนะนำให้ Google และค้นหาไปยังหน้าเว็บไซต์ที่สำคัญของคุณได้”

ดังนั้นหากมีการใช้ลิงก์ภายในอย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหน้าเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี โดยยังส่งผลต่อการวัดความสำคัญของเว็บเพจ (PageRank) ซึ่งมีตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 10 ถ้าหากตัวเลขยิ่งสูงมากเท่าไหร่ หมายความว่าเว็บไซต์มีโอกาสได้รับการจัดอันดับบน Google ในลำดับที่ดีมากขึ้นนั่นเอง 

TIP : อย่างไรก็ตามสามารถใช้ URL Rating เป็นตัววัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์แทน Google PageRank ได้ 

Backlink-profile-URL Rating

พูดง่ายๆ ว่ายิ่งเพจมีลิงก์ภายในมากเท่าไหร่ PageRank ก็จะมีคะแนนสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามอย่าเน้นแต่ปริมาณเท่านั้น คุณภาพของลิงก์ภายในก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน การทำงานของลิงก์ประเภทนี้จะช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถข้ามไปยังเนื้อหาที่คุณต้องการแสดงให้พวกเขาเห็นได้โดยตรง ซึ่งจะส่งผลดีต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์

ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังทำธุรกิจ E-commerce ในโลกออนไลน์ คุณอาจจะต้องการลิงก์ที่เชื่อมโยงจากหน้าแรก (Homepage) ไปยังหน้าผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุด หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจตามฤดูกาลได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้ผู้เยี่ยมชมเข้าถึงสินค้าได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น และอาจทำให้ยอดขายสูงขึ้นได้

คุณ John Mueller ยังได้กล่าวอีกว่า “คุณควรพิจารณาในเชิงกลยุทธ์ และต้องคิดเสมอว่าสิ่งที่คุณสนใจากที่สุดในเว็บไซต์นั้นก็คือสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมสนใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นต้องใช้ลิงก์ภายใน เป็นเครื่องมือที่พาให้ผู้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น”

ไม่เพียงเท่านั้นเครื่องมือค้นหาอย่าง Google และอื่น ๆ ยังใช้ลิงก์ภายในเสมือนเป็นป้ายบอกทาง เพื่อช่วยให้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ หรืออะไรที่โดดเด่นน่าสนใจบนเว็บไซต์ของคุณ 

ตัวอย่างเช่น หากคุณได้ทำการเผยแพร่หน้าเว็บไซต์ใหม่ และไม่ได้เพิ่มลิงก์ภายในลงไป นอกจากนั้นหน้านี้ยังไม่ได้อยู่ใน XML Sitemap อีก รับรองได้ว่าการค้นเจอหน้าเว็บใหม่นี้ก็จะยากมากขึ้น เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร ซึ่งจะทำให้ยอดการเข้าชมเว็บไซต์ต่ำได้

ซึ่งทาง Google ได้กล่าวเอาไว้ว่า 

“บางหน้าเว็บเพจเป็นที่รู้จักได้ เนื่องจาก Google ได้รวบรวมข้อมูลหน้เพจมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงทำให้การค้นหาเจอได้ง่าย เมื่อ Google ติดตามลิงก์จากหน้าที่รู้จักไปยังหน้าใหม่ ๆ”

นอกจากนั้นลิงก์ภายในยังเกี่ยวเนื่องกับ anchor text อีกด้วย

กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า หากคุณมีเพจที่เดี่ยวกับเดรสสีแดง และมีลิงก์ภายในหลายลิงก์ที่ชี้ไปยังหน้านั้น ๆ โดยใช้ anchor text เช่น คำว่า “เดรส” “เดรสสีแดง” และ “แม็กซี่เดรสสีแดง” คำเหล่านี้จะช่วยให้ Google เข้าใจการเชื่อมโยงเพจโดยลิงก์ภายในได้ง่ายมากขึ้น

ลิงก์ภายในมีอยู่หลายประเภท ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลย

  • Navigational links

เป็นลิงก์ที่ใช้ในระบบนำทางของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้เข้าใช้งานสามารถไปยังหน้าเพจที่สนใจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

นี่คือลักษณะที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของ Ahref

Navigational Links
  • Contextual links

ลิงก์ประเภทนี้มักจะปรากฏในเนื้อหาหลักบนเว็บไซต์ โดยทั่วไปจะใช้เพื่ออ้างถึงแหล่งข้อมูล กำหนดเงื่อนไข หรือพาผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

และนี่คือตัวอย่างลิงก์ที่นำไปยังบทความหัวข้อ “Keyword Research Tool”

Contextual links
  • Breadcrumb links

สามารถใช้ในการระบุความเชื่อมโยงระหว่างหน้าในเว็บไซต์ ซึ่งเมื่อคุณอยู่ในหน้าอื่นๆ ก็สามารถกลับมาที่หน้าแรกได้อย่างง่ายๆ

Breadcrumb links

ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ด้านบนสุดของหน้าเว็บไซต์ เช่น หน้าผลิตภัณฑ์หรือบล็อกโพสต์ เป็นต้น และ Google ยังสามารถใช้ลิงก์ประเภทนี้ในการวัดค่า PageRank ได้อีกด้วย

  • Footer links

จะอยู่ในส่วนด้านล่างของหน้าเว็บไซต์ ซึ่งจะประกอบด้วยลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าติดต่อ หน้านโยบายความเป็นส่วนตัว และหน้าสำคัญอื่นๆ 

 Footer links are useful for extra detail

สำหรับการตั้งค่าโครงสร้างการเชื่อมโยงภายในที่ดีและมั่นคง จะช่วยให้เว็บไซต์มีอับดับที่สูงขึ้น ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้

ขั้นที่ 1 วางแผนโครงสร้างการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์

สิ่งแรกที่จะต้องทำคือการวางแผนโครงสร้าง โดยส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้โครงสร้างพีระมิด สำหรับการจัดเรียงการเชื่อมโยงภายใน 

Pyramid Structure Creates a Logical Site Hierarchy

การสร้างโครงสร้างการเชื่อมโยงภายในเป็นพื้นฐานที่ต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งมีคำแนะนำจาก John Mueller ว่า “โครงสร้างพีระมิด จะช่วยให้เราเข้าใจบริบทของแต่ละหน้าภายในเว็บไซต๋ได้มากขึ้น”

เช่นเดียวกันกับวิธีการเชื่อมโยงจากบนลงล่างในโครงสร้างพีระมิด จะสามารถเพิ่มเบรดครัมป์เพื่อให้นำทางไปยังส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ได้ง่ายดายขึ้น

Homepage menu links

ลิงก์ Breadcrumb ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมเข้าใจว่ากำลังอยู่จุดไหนของเว็บไซต์ และสามารถกลับมาหน้าแรกได้อย่างไม่ยุ่งยาก 

ขั้นที่ 2 สร้างลิงก์ไปยังเพจภายในเว็บไซต์ที่คุณสนใจ

หลังจากขั้นตอนวางแผนพื้นฐานของโครงสร้างลิงก์ภายในเรียบร้อยแล้ว ต่อมาให้เพิ่มลิงก์ไปยังหน้าภายในของเว็บไซต์ที่คุณต้องการให้ผู้เยี่ยมชมเข้าถึง เช่น หากคุณทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ หน้าสำคัญอาจจะหมายถึงหน้าผลิตภัณฑ์ หน้าบริการ เป็นต้น

ซึ่งที่เว็บไซต์ของ Ahrefs จะเชื่อมโยงภายในไปยังเครื่องมือ SEO จากหน้าหลักของเว็บไซต์ เช่นตัวอย่างรูปภาพด้านล่างนี้

All in one SEO toolset

วิธีการนี้ช่วยพาผู้เยี่ยมชมไปยังส่วนที่สำคัญที่สุด หรือในหน้าเพจที่คุณต้องการนำเสนอ 

ขั้นที่ 3 เชื่อมโยงลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ขั้นตอนนี้จะช่วยให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อที่คุณกำลังเขียน ตัวอย่างเช่น เมื่อเขียนเกี่ยวกับเรื่อง SEO ผู้อ่านอาจพบคำศัพท์เฉพาะทางที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ คุณสามารถเพิ่มลิงก์ภายในเพื่ออธิบายคำศัพท์เหล่านั้นได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจมากยิ่งขึ้น

Link to relevant content

วิธีการนี้ทำให้ผู้อ่านสามารถคลิกที่ลิงก์เพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ เช่นในบล็อกของเราจะเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องผ่านช่อง “Further Reading” หรือช่องอ่านเพิ่มเติม ตัวอย่างตามรูปภาพด้านล่างนี้

Further Reading

ซึ่งวิธีนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยนำทางให้ผู้อ่านเห็นเนื้อที่เกี่ยวข้องบนเว็บไซต์ของคุณ ข้อพิจารณาอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับการเชื่อมโยงภายในคือบริบทของการเชื่อมโยง โดย Gael Breton กล่าวว่า 

“ในเนื้อหาควรจะมีการสร้างลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บไซต์อื่น ๆ ของคุณอย่างเหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง”

นี่คือตัวอย่างลักษณะที่ปรากฏบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

Ecommerce Internal links structure

และอย่าลืมที่จะใช้ลิงก์ภายในที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถใช้เครื่องมือ Ahrefs Webmaster Tools เป็นตัวช่วย โดยมีวิธีตามขั้นตอนดังนี้

  • ให้ไปที่การตรวจสอบไซต์ (Site Audit) ล่าสุดของคุณ และคลิกที่ Page Explorer
  • ป้อนคีย์เวิร์ดลงในแถบการค้นหา เช่น “online advertising”
  • เปลี่ยนตัวกรองเป็น Page Text จากนั้นจะมีการอัปเดตหน้าเมื่อคุณทำเสร็จทุกขั้นตอน

วิธีการนี้จะช่วยให้คุณเห็นหน้าเว็บไซต์ที่มีการเข้าชมมากที่สุด เรียงลำดังจากมากไปหาน้อย ซึ่งแน่นอนว่าหน้าที่มีผู้เข้าชมอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่จะมีประสิทธิภาพสูง

Organic Traffic - Site Audit

จากนั้นให้เพิ่มลิงก์ภายในไปยังหน้าเว็บเพจที่มีประสิทธิภาพสูงได้เลย

แนะนำว่าหลังจากการเพิ่มลิงก์ภายในแล้ว ต้องตรวจสอบเป็นระยะ ๆ การตรวจสอบลิงก์ภายในของคุณด้วยตนเองทีละลิงก์บอกเลยว่าเป็นอะไรที่เสียเวลามาก ๆ โดยเฉพาะเว็บขนาดใหญ่ ไม่สามารถตรวจสอบได้ทีละลิงก์ ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดคือการใช้เครื่องมืออย่างเช่น Site Audit จะช่วยให้คุณกำหนดเวลาในการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์เป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ได้ ซึ่งเครื่องมือนี้ คุณจะสามารถแก้ไขปัญหาดังต่อไปนี้ได้

  • สามารถแก้ไขลิงก์ภายในที่เสียหาย ซึ่งเชื่อมไปยังหน้า 4XX page
  • สามารถเพิ่มโอกาสในการระบุลิงก์ภายในใหม่
  • สามารถแก่ไขหน้า Orphan page ได้

ดังนั้นเรามาดูวิธีการตรวจสอบปัญหาต่างๆ กัน

วิธีที่ 1 การแก้ไขลิงก์ภายในที่เสียหาย เพื่อเรียกคืนสิทธิ์ (Authority)

เมื่อคุณรวบรวมข้อมูลการตรวจสอบเว็บไซต์แล้วให้ไปที่รายงานหน้าภายใน (Internal Page Report) และคลิกที่ “Issue”

Internal Pages

ในตัวอย่างภาพด้านบนจะเห็นว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น ให้คลิกที่ “4XX page” เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม

4XX Page

ซึ่งพบว่าปัญหาเกิดจากบล็อกโพสต์ที่ได้ลบออกไปแล้ว แต่ยังมีลิงก์ภายใน 37 ลิงก์ที่ยังนำผู้เยี่ยมชมไปยังบล็อกโพสต์ (4XX page) นั้นอยู่ แนะนำว่าให้ลบลิงก์ภายในที่เชื่อมโยงออกไปให้หมด

TIP : หากหน้า 404 มีลิกง์ภายนอกที่สำคัญและยังชี้ไปยังหน้านี้อยู่ อาจจะต้องทำการพิจารณาการเชื่อมโยง 301 เปลี่ยนเส้นทางในหน้านั้น ซึ่งการตรวจสอบเหล่านี้สามารถใช้ Ahrefs’ Site Explorer’s และไปที่ Broken backlinks report จากนั้นดูลิงก์ย้อนกลับที่ไม่สามารถใช้งานได้ ก็จะพบลิงก์ภายนอกที่นำไปยังหน้าเสียเหล่านั้น

Broken backlink report

และทำการเปลี่ยนเส้นทาง เพื่อไม่ให้เชื่อมไปยังหน้าเพจที่ใช้งานไม่ได้

วิธีที่ 2 แก้ไขหน้า Orphan Pages

สำหรับ Orphan Pages เป็นหน้าเว็บที่ไม่มีลิงก์ภายใน ซึ่งวิธีการแก้ไขง่ายๆ เพียงเพิ่มลิงก์ภายในใหม่ลงไปเท่านั้น

เมื่อคุณดำเนินการตรวจสอบแล้ว  สามารถดูว่าหน้าเพจไหนที่ไม่มีผู้ดูแล โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

  • คลิกที่ “Link report”
  • จากนั้นเลือกแท็บ “Issues”
Site Audit > Links > Issues tab > Orphan page (has no incoming internal links)

ในตัวอย่างด้านล่างนี้ จะเห็นได้ว่ามีอยู่หนึ่งเพจที่ไม่มีผู้ดูแล

Orphan page (has no incoming internal links)

ทำไมจะต้องแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งมีเหตุผลอยู่ 2 ประการ

  1. Google จะไม่สามารถค้นหาหน้าเพจแบบนี้ได้ เว้นแต่ว่าจะเพิ่มลงไปใน Sitemap ผ่าน Google Search Console หรือมี Backlinks จากหน้าเว็บไซต์อื่นที่ Google ได้ทำการรวบรวมข้อมูล
  2. หากไม่มีลิงก์ภายในก็จะไม่มีการถ่ายโอน PageRank ผ่านลิงก์ภายในได้

ข้อแนะนำอีกประการหนึ่ง คือ หากคุณมีหน้าเว็บจำนวนมากในเว็บไซต์ ให้ลองจัดเรียงรายการตามการเข้าชมทั่วไป ที่มีการเข้าชมสูงสุดไปยังต่ำสุด

วิธีที่ 3 ระบุโอกาสสำหรับ Internal links ใหม่

การค้นหาโอกาสในการเชื่อมโยงภายในใหม่ๆ เป็นอีกหนึ่งกระบวนการที่ใช้เวลานานหากคุณทำด้วยตนเอง แต่ข้อดีคือสามารถที่จะระบุสิ่งต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ

ในการดำเนินการนี้ให้คลิกรายงานโอกาสในการเชื่อมโยงภายในสำหรับการตรวจสอบเว็บไซต์

Internal link opportunities

ซึ่งคุณจะเห็นคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับวิธีปรับปรุงการเชื่อมโยงภายในของคุณโดยใช้ลิงก์ใหม่ๆ และสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับรายงานนี้คือการแนะนำว่าควรวางลิงก์ภายในไว้ที่ใด เพื่อให้มีตำแหน่งที่เหมาะสมมากที่สุด

Keyword Context

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นข้อความแนะนำที่ดีที่สุด สำหรับการแก้ไขปัญหานั้น ๆ เพื่อให้การทำงานของลิงก์ภายในมีคุณภาพสูงสุด

สรุปผล

การสร้าง Internal Links เพื่อเชื่อมโยงหน้าเพจต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ แต่ต้องใช้เวลาและความอดทนในการทำเพื่อให้การทำงานออกมาดีที่สุด ซึ่งการตรวจสอบลิงก์ภายในทำได้โดยการใช้เครื่องมือง่าย ๆ อย่าง Ahrefs’ Site Audit เป็นตัวช่วย เพื่อการดำเนินการที่รวดเร็ว และเกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด นอกจากนั้นลิงก์ภายในยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งสำหรับเพิ่ม PageRank รวมทั้งช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ บนเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ได้อีกด้วย

สวัสดีค่ะทุกคน ชื่อหมูนะคะ เราเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบงานเขียนมาก ๆ ค่ะ เพราะงานเขียนเปรียบเสมือนกับการสร้างโลกในจินตนาการของเราขึ้นมา โลกใบนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสนุกสนาน เเละความรู้มากมายที่เราสามารถผจญภัยไปได้เเบบไม่มีลิมิต มาท่องโลกของตัวหนังสือไปพร้อมกันนะคะ