How to create SEO title tags

4 ขั้นตอนง่าย ๆ สำหรับวิธีสร้าง SEO Title Tag ที่มือใหม่ต้องเรียนรู้

เชื่อไหมว่า SEO Title Tag มีความสำคัญมากต่อเว็บไซต์ โดยจะใช้บอกชื่อเรื่อง หรือบ่งบอกว่าเว็บไซต์นี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร เพื่อให้ผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหาอย่าง Google เข้าใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนที่อยู่ใน Head ของ HTML และปรากฏอยู่ด้านบนของเว็บเบราว์เซอร์ เพราะฉะนั้นในบทความนี้จะมาบอกวิธีการเขียน Title Tag อย่างไรให้ถูกตามหลัก SEO มีเพียง 4 ขั้นตอนเท่านั้น อ่านแล้วเข้าใจง่าย มือใหม่ก็สามารถทำตามได้ไม่ยาก 

ดังนั้นเรามาดูตัวอย่างแท็กชื่อทั้งสองแท็กนี้กันเลยดีกว่า

  • Rank tracker – Ahrefs
  • Rank Tracker by Ahrefs: Check & Track Keyword Rankings

ปรากฏว่าเมื่อเปลี่ยนแท็กชื่อจากรูปแบบที่ 1 มาเป็นแบบที่ 2 ซึ่งมีการลงรายละเอียดมากขึ้น ทำให้เว็บไซต์ได้รับอัตราการเข้าชมแบบออร์แกนิคสูงขึ้นมากถึง 37.58% เลยทีเดียว

Ahrefs rank-tracker - Organic Traffic

ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงแท็กชื่อออาจจะไม่สามารถการันตีได้อย่างแน่นอนว่าจะช่วยเพิ่มอัตราการเข้าชม แต่อย่างไรก็ตามหลังจากการเปลี่ยนแปลงก็พบว่ามีผลที่ดีในเชิงบวกกับเว็บไซต์ของพวกเรา ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำ 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณสร้าง SEO Title Tag ออกมาได้เพอร์เฟ็กต์มากที่สุดเท่าที่เคยทำมา

ถ้าพร้อมแล้วไปเรียนรู้เกี่ยวกับ SEO Title Tag กันได้เลย 

SEO title tags คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อเว็บไซต์

ในส่วนของแท็กชื่อนี้อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเป็นองค์ประกอบของ HTML ซึ่งจะอยู่ในส่วน Head เอาไว้ใช้สำหรับการระบุชื่อเรื่องของหน้าเว็บนั้น ๆ 

<title>75 Actionable SEO Tips (That Work Like A Charm in 2018)<title>

จากตัวอย่างด้านบนนี้ จะเห็นได้ว่าหน้าที่หลัก ๆ จะใช้บอกผู้เข้าชมเว็บไซต์ และเครื่องมือค้นหาว่าเนื้อเรืองในเว็บไซต์หน้านี้เป็นเรื่องอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้ค้นหาคลิกเข้าเยี่ยมชม และเครื่องมือจะสามารถใช้ในการแสดงผลลัพธ์ให้กับผู้ค้นหาได้ดีขึ้น

และตัวอย่างด้านล่างนี้ เป็นลักษณะของ title tag ที่ปรากฏในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs)

75 Actionable SEO Tips

ต่อมาด้านล่างนี้เป็นลักษณะชอง SEO Title Tag ที่จะปรากฏบนโซเชียลมีเดียเมื่อมีการแชร์เว็บไซต์ของคุณลงบนแพลตไอร์มโซเชียลต่าง ๆ 

Twitter Title Tags

ดังนั้นคุณเห็นความสำคัญของแท็กชื่อแล้วใช่ไหม ซึ่งมันจะเอาไว้ใช้ดึงดูดผู้คนให้คลิกเข้ามายังโพสต์ของคุณจาก SERP หรือจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย นอกจากนั้นยังมีความสำคัญอีกหลายประการที่คุณควรต้องทราบเอาไว้ เช่น

  • เชื่อไหมว่า SEO Title Tag ใช้สร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าเยี่ยมชมตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เพราะเป็นส่วนที่ผู้ค้นหาจะอ่านก่อนคลิกเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ หากแท็กชื่อที่ดี สามารถสื่อสารให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเกี่ยวกับเนื้อเรื่องอะไร จะทำให้พวกเขาประหยัดเวลาในการค้นหานั่นเอง
  • แท็กชื่อแนะนำว่าควรใส่ชื่อแบรนด์ หรือชื่อธุรกิจของคุณลงไปด้วย เพราะมันจะช่วยดึงดูดให้เกิดการคลิกและนำไปสู่การเข้าชมที่มากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ไม่เพียงเท่านั้น Google รวมทั้งเครื่องมือการค้นหาอื่น ๆ ยังให้ความสำคัญกับแท็กชื่อเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถใช้พิจารณาและทำความเข้าใจเพจของคุณได้ง่ายขึ้น ส่งผลที่ดีต่อการแสดงผลการค้นหา และอันดับเว็บไซต์ได้

Usage of keyword in Title

แต่อย่าลืมที่จะใส่คีย์เวิร์ดสำคัญลงไปใน SEO Title Tag ด้วย 

ความแตกต่างระหว่าง title tags และ H1-tags 

ทั้งสองส่วนนี้ถึงจะอยู่ใน HTML เหมือนกัน แต่มีหน้าที่แตกต่างกัน โดย title tags ใช้บอกชื่อเรื่องหรือเนื้อหาโดยรวมทั้งหมดของหน้าเว็บนั้น ๆ ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร แต่ว่า Heading tags หรือ H1-tags นั้น จะใช้สำหรับกำหนดหัวข้อในหน้าเพจ ว่าหัวข้อหลักคืออะไร และจะมีเพียงแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นในหน้าเพจนั้น ๆ ซึ่งสามารถใช้บอก Google ได้เช่นกันว่าหน้าเว็บนี้มีเนื้อหาเรื่องอะไรอยู่นั่นเอง

ตัสอย่างเช่น หัวข้อเรื่อง 75 SEO Tips นี้

<h1> Actionable SEO Tips (That Work Like A Charm in 2018)</h1>

แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองส่วนนี้ก็มีความคล้ายคลึงกันมาก ๆ โดยเฉพาะจุดประสงค์สำหรับการใช้งานในเว็บไซต์ เพื่อใช้กำหนดหัวข้อเรื่อง และชี้ให้เห็นว่าหน้าเว็บนี้เป็นเนื้อหาเรื่องอะไร

ซึ่งสรุปง่าย ๆ ว่า title tags ที่ปรากฏใน SERP นี้ จะช่วยให้เห็นข้อมูลเนื้อเรื่องในหน้าผลการค้นหา หรือบนโพสต์โซเชียลที่ได้แชร์ลิงก์ของคุณ ส่วน H1-tags จะเป็นชื่อเรื่อง ที่แสดงบนหน้าเว็บไซต์จริง ๆ เมื่อผู้ค้นหาคลิกเข้ามายังเว็บไซต์แล้ว

และนี่คือต้วอย่าง H1-tag บนหน้าเว็บไซต์

H1-tag

ส่วนด้านล่างนี้เป็น title tags ที่ปรากฏใน SERP

Title tag in Browser tab

คำแนะนำและกฏที่ควรทราบสำหรับการตั้ง title tags ของเว็บไซต์

ลองมาดูตรงนี้กันหน่อย คุณเคยเห็นผลลัพธ์ใน SERP ที่มีลักษณะดังนี้หรือไม่

Paleo diet title tag truncation

สำหรับการตั้งชื่อ SEO Title Tag สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมคือความยาว โดยแนะนำว่าควรจะมีความยาวอยู่ที่ 50-60 ตัวอักษร ซึ่งเราสามารถทดสอบว่าชื่อแท็กที่ตั้งคือมานี้มีความยาวหรือพิกเซลที่เหมาะสมหรือไม่ โดยใช้เครื่องมือฟรีดังต่อไปนี้

หรือจะใช้เครื่องมือนี้ SEO analyzer tool ได้เลย

นอกจากนั้นไม่ควรใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดในการตั้งชื่อแท็ก และแน่นอนว่าไม่เคยมีใครเห็นว่าชื่อแท็กที่เป็นตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดนั้นติดอันดับหน้าแรกบน Google

ตัวอย่างชื่อแท็กที่ไม่เหมาะสม

Paleo diet all caps mockup

ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงไม่ทำแบบนี้เป็นอันเด็ดขาด ซึ่งด้านล่างนี้เป็นรูปแบบแท็กชื่อที่แนะนำว่าควรใช้

  • Sentence Case : กรณีที่เป็นประโยคให้ใช้ตัวอักษรแรกของคำแรกในประโยคเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ เช่น “Dwell time: is it really a ranking factor? (and if so, should you care?” 
  • Title Case : ให้ทุกคำในประโยคใช้ตัวอักษรแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ เช่น “10 Google Sheets Formulas Every SEO Should Know”

และหากต้องการเน้นคำใดคำหนึ่งที่สำคัญในประโยค สามารถทำให้คำนั้น ๆ เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ได้ทั้งหมด เช่นตัวอย่างด้านล่างนี้

Webris Title Tag Caps

และต่อไปนี้คือสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเพิ่มเติมเมื่อต้องการสร้าง SEO Title Tag

  1. เขียนให้เป็นธรรมชาติ ที่คนอ่านแล้วเข้าใจง่าย
  2. ตรวจสอบแท็กชื่อให้มั่นใจว่าไม่ซ้ำกับแท็กชื่อในหน้าอื่น ๆ ของเว็บไซต์
  3. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกหน้าในเว็บไซต์มีการเพิ่มแท็กชื่อแล้ว

เมื่อทำความเข้าใจกับกฏและคำแนะนำต่าง ๆ กันไปเรียบร้อยแล้ว ต่อมาจะเป็นขั้นตอน 4 step ง่าย ๆ ที่ใช้ในการสร้าง SEO Title Tag

Step 1 ค้นหาคีย์เวิร์ดหลักเพื่อกำหนดเป้าหมาย

หน้าเว็บไซต์ที่ได้รับการจัดอันดับสูง ๆ ส่วนใหญ่จะมีคีย์เวิร์ดเป้าหมายกำหนดไว้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นคีย์เวิร์ดสั้น ๆ หรือยาวก็ได้

The average number of keywords that Top 20 ranking pages "also rank for" (in Top10)

เช่น ตัวอย่างด้านล่างนี้จะเห็นได้ว่าคีย์เวิร์ดแบบยาว (long tail keyword) อย่าง “best whey protein powder for women” มีปริมาณการค้นหามากถึง 400 ครั้งต่อเดือน

The best whey protein powder for women - volume search

ซึ่งถือว่าเป็นคีย์เวิร์ดที่เพิ่มทราฟฟิคให้กับเว็บไซต์ได้เป็นปริมาณมากเลยทีเดียว และสามารถผลักดันให้เพจติดท็อบใน 10 อันดับแรกได้

SERPs Overview search

และนี่คือตัวอย่างคีย์เวิร์ดยาวอื่น ๆ 700 คำ ของหน้าเว็บไซต์ที่อันดันดับสูงสุดในปัจจุบัน

Long-tail keywords

ซึ่งอยากแนะนำว่าในแท็กชื่อส่วนของ “head” ควรจะมีคีย์เวิร์ดหลักร่วมด้วย จะเป็นแบบยาวหรือแบบสั้นก็ได้ 

แต่ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะใช้คีย์เวิร์ดไหนดี สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้เลย  Keywords Explorer เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับคอนเทนต์ของคุณ

  • ไปที่เครื่องมือ Keywords Explorer
  • ป้อนคำอธิบายสั้น ๆ ของเพจคุณ หรือโพสต์ของคุณว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร

ตัวอย่างเช่น

หากกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับ “our list of 75 SEO tips” สามารถเขียนคำอธิบายสั้น ๆ ลงในเครื่องมือดังนี้ “list of the best seo tips”

List of the best seo tips

ซึ่งคำที่ป้อนลงไปอาจจะมีปริมาณค้นหาน้อย หรือมากก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกกรณี

No search volume

แต่อย่างไรอย่าพึ่งกังวล หากคำเหล่านั้นมีปริมาณการค้นหาน้อย ให้เลื่อนลงไปที่ภาพรวม SERP Overview ข้อมูลส่วนนี้จะบอกถึงคีย์เวิร์ดยอดนิยม ที่สามารถส่งการเข้าชมได้มากที่สุด สำหรับแต่ละหน้าเว็บที่ถูกจัดใน 10 อันดับแรก

Top Keyword in Keyword Explorer Tool

คุณจะเห็นคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูง ๆ ในหัวข้อที่คุณเขียน ซึ่งตอนนี้กำลังเจียนเกี่ยวกับเรื่อง our list of 75 SEO tips คีย์เวิร์ดที่ใช้ได้ก็จะเป็น “SEO tips”

แต่ถ้าไม่เจอคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมสามารถไปที่ “Keywords ideas” > “Also rank for” ซึ่งจะอยู่บนเมนูด้านซ้าย ซึ่งคุณจะเห็นคีย์เวิร์ดมากมายที่หน้าจัดอันดับ 10 อันดับแรกใช้อยู่ และจะจัดเรียงตามปริมาณการค้นหา ดังนั้นให้ค้นหาตามรายการจนกว่าคุณจะพบคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับเนื้อหาของคุณ

Also rank for keywords explorer

ซึ่งจะเห็นได้ว่า “SEO tips” และ “SEO techniques” สามารถใช้งานได้ แต่ว่า “SEO tips” มีปริมาณการค้นหาที่สูงกว่า ดังนั้นก็ควรจะเลือกใช้คำนี้เป็นคีย์เวิร์ดหลัก

Step 2 ค้นหา LONG-TAIL คีย์เวิร์ด ที่เหมาะสมกับเนื้อหาของคุณ

เชื่อไหมว่าคีย์เวิร์ดรูปแบบยาวนี้สามารถเพิ่มอัตราการเข้าชมค่อนข้างเร็วกว่าคีย์เวิร์ดแบบสั้น ๆ นอกจากนั้นยังสามารถใช้ในแท็กชื่อได้อีกด้วย ซึ่งจะเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้กับ title tags 

Long-tail Keyword - The search demand curve

ซึ่งคีย์เวิร์ดยาว ๆ นี้จะมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าคีย์เวิร์ดทั่วไป แต่ไม่ได้แปลว่าจะเป็นแบบนี้เสมอไป

ตัวอย่าง

  • Head keyword: “seo tips” มีปริมาณการค้นหา 3,800 ครั้ง/เดือน
  • Long-tail variation #1: “seo tips for beginners” มีปริมาณการค้นหา 100 ครั้ง/เดือน
  • Long-tail variation #2: “small business seo tips” มีปริมาณการค้นหา 70 ครั้ง/เดือน

ซึ่ง long-tail คีย์เวิร์ดนี้สามารถค้นหาได้ไม่ยาก โดยให้ไปที่ Keywords Explorer และป้อนคีย์เวิร์ดของคุณ เช่น “SEO Tips” จากนั้นคลิกที่ “Phrase match” ที่แถบด้านข้างซ้ายมือ

Phrase match keywords explorer

จากนั้นจะเห็นคีย์เวิร์ดมากมายปรากฏขึ้นมา

SEO tips long tail

นอกจากนั้นยังดูที่รายงาน “Having same terms” ของเครื่องมือได้ เพื่อดูคีย์เวิร์ดอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุดเพิ่มเติมได้

Step 3 เทคนิคการร่าง SEO Title Tag แบบพื้นฐาน

สำหรับการสร้างชื่อแท็กแบบพื้นฐานจะมีเทคนิคบางประการที่ต้องทำตาม ซึ่งมีดังนี้

  • เน้นที่คำอธิบาย : เขียนให้ชัดเจนว่าหน้านี้ หรือโพสต์นี้เกี่ยวกับอะไร
  • เขียนให้สั้น อ่านลื่นไหล : ไม่ควรยาวเกิน 50-60 อักขระ 
  • ต้องมีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วย : ถ้าเป็นไปได้แนะนำว่าควรมี long-tail คีย์เวิร์ดร่วมด้วย

ดังนั้นเดี๋ยวเราลองมาดูตัวอย่างบทความ “our list of 75 SEO tips” นี้กันเลยว่าจะมีรูปแบบการสร้างแท็กชื่อยังไง

75 SEO Tips for 2018

เห็นไหมว่ามีคีย์เวิร์ดทั้งแบบสั้น “SEO Tips” และแบบยาว “SEO Tips 2018” ร่วมอยู่ด้วย 

ต่อมามาลองอันนี้กันดีกว่า สำหรับบทความ “our multilingual SEO guide” ควรจะมีแท็กชื่อดังนี้

Multilingual SEO: Translation and Marketing Guide

แนะนำว่าการสร้างชื่อแท็กอาจจะต้องลองคิดสักประมาณ 2-3 แท็กไว้ เพื่อดูว่าอันไหนจะดีที่สุด ซึ่งต้องคำนึงอยู่เสมอว่าการสร้างแท็กจะต้องสื่อความหมาย มีคีย์เวิร์ดด้วยไม่ว่าจะเป็นคีย์เวิร์ดแบบสั้นและยาว แท็กต้องมีความยาวอยู่ในระดับที่พอดีและรัดกลุ่ม กระชับได้ใจความเน้นเขียนให้อ่านแล้วลื่นไหลธรรมชาติ เช่น

How to choose the best (and worst) protein powders

How to choose the best (and worst) protein shakes

Step 4 ให้ดูว่าเนื้อหาของคุณมีเอกลักษณ์หรือความโดดเด่นในด้านใด

คุณต้องมองให้ออกว่าเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่กำลังทำนี้ มีจุดเด่นอะไรบ้าง มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์แปลกใหม่กว่าเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งต้องแสดงออกมาให้เห็นแบบเด่นชัด โดยสิ่งเหล่านี้ต้องสามารถสื่อออกมาในรูปแบบของแท็กชื่อได้อีกด้วย

ต่อไปนี้คือคุณสมบัติห้าประการที่จะทำให้ผู้คนสนใจในเนื้อหาของคุณ

  1. ต้องเขียนให้ลึกและมีความครอบคลุมในเนื้อหานั้น ๆ และที่สำคัญในแท็กชื่อควรมีการเพิ่มคำหรือวลีลงไป เช่น “สุดยอด” “เสร็จสมบูรณ์” “การศึกษา” “ทีละขั้นตอน” เป็นต้น คำเหล่านี้จะดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้น

2. สไตล์การเขียนเป็นลิสต์หรือรายการ โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวกับเทคนิควิธีทำต่าง ๆ และอย่าลืมที่จะใส่ตัวเลขลงในแท็กชื่อเสมอสำหรับโพสต์ที่มีรูปแบบเป็นรายการ

3. เขียนให้รัดกุม กระชับแต่มีเนื้อหาที่ครบถ้วน เน้นเจาะจงประเด็นสำคัญ และหน้าเพจเหล่านี้ควรมีคำสั้น ๆ ที่ทำให้ผู้อ่านมองเห็นว่าเนื้อหามีความกระชับใส่ลงไปในชื่อแท็ก เช่น “ใน……นาที” “วันนี้” “ตอนนี้” “เวลานี้” หรือยิ่งหน้าที่เป็นผลิตภัณฑ์อาจใช้คำกระตุ้นเช่น “จัดส่งฟรี” เป็นต้น

4. เนื้อหาต้องมีความสดใหม่ ซึ่งในแท็กชื่อเรื่องอาจจะมีการเติมเวลา พ.ศ.ลงไป เช่น “อัปเดตใหม่ล่าสุด 2023” เป็นต้น

5. แนะนำให้เพิ่มชื่อแบรนด์ของตนเองลงไปในแท็กชื่อ เนื่องตากมีแนวโน้มมากขึ้นที่ผู้คนจะคลิกผลการค้นหาจากแบรนด์ที่พวกเขารู้จัก หรือเคยได้ยินมาก่อน

แต่อย่างไรก็ตามต้องจำไว้เสมอว่าแท็กชื่อต้องสั้น กระชับมากสุดเท่าที่ทำได้ ไม่ควรเกิน 60 อักขระ ดังนั้นไม่ควรเน้นจุดขายเกินไปในแท็กชื่อ เนื่องจากเราต้องการให้มันสามารถอ่านลื่นไหลได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด และที่สำคัญอย่าลืมดูอันดับใน SERP เพื่อให้สามารถเข้าใจเจตนาหรือจุดประสงค์ของผู้ค้นหาให้ได้ลึกซึ้งมากที่สุด นอกจากนั้นยังสามารถบอกได้อีกว่าจุดเด่นใดที่คุณควรต้องเน้นให้เด่นชัดที่สุด

เช่นหากคุณต้องการค้นหาร้านอาหารสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุด ก็คือรสชาติ นอกจากนั้นสิ่งที่ผู้คนสนใจคือเนื้อหาที่เกี่ยวการจัดอันดับร้านอาหารที่อร่อยที่สุด ซึ่งจะเป็นคอนเทนต์ที่อยู่ในรูปแบบลิสต์รายการ

The Best Restaurant in New York

แต่ถ้าเป็นการค้นหาที่พัก หรือทริปท่องเที่ยว ผู้คนมักให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องราคา ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่คุณต้องเน้นให้เด่นชัด 

Cheap holidays

ดังนั้นขอยกตัวอย่าง title tag ให้เห็นเด่นชัด เช่น

75 SEO Tips That Work in 2023

การเพิ่มวลีสั้น ๆ อย่าง “That work in 2023” ลงในแท็กชื่อจะทำให้เห็นว่าโพสต์นี้มีความสดใหม่ เป็นเวอร์ชันอัปเดตล่าสุด และบ่งบอกได้ว่าสิ่งที่กำลังนำเสนอนี้สามารถใช้งานได้จริงในปัจจุบัน

แต่อย่างไรก็ตามการตั้งแท็กชื่ออย่าลืมเน้นเนื้อหาให้เหมาะสมรวมทั้งสอดคล้องกับแท็กชื่อด้วย เขียนให้ลึกและครอบคลุม ซึ่งต้องไม่ยาวจนเกินไป เพราะบทความยาว ๆ ที่มีแต่ตัวหนังสือนั้นไม่ได้น่าอ่านเลย และเน้นที่ปริมาณ เช่น ถ้าเขียนเกี่ยวกับเคล็ดลับ ก็จะต้องลงลึกว่าเคล็ดลับมีอะไรบ้าง มีกี่ข้อ และแนะนำว่าควรเขียนในสไตล์รายการ เขียนเป็นลำดับขั้นตอน

เมื่อเว็บไซต์ติดอันดับ 10 อันดับแรกบน SERP สิ่งที่จำเป็นต้องทำมีอะไรบ้าง

เมื่อคุณสามารถทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน 10 อันดับแรกได้แล้ว การค้นหาและเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงเป็นสิ่งที่ยังคงต้องทำอยู่ต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องทำเพิ่มเติมก็คือการเพิ่ม อัตราจำนวนคลิกเข้าชม Click Through Rate หรือ CTR ดังนั้นหากพร้อมแล้วไปดูวิธีการเพิ่ม CTR ด้วย title tag กันเลยดีกว่า

การดึงดูดและกระตุ้นผู้อ่านด้วยการเพิ่ม EMOTION ลงใน title tags

คำหรือวลีที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ผู้อ่านมีอยู่หลากหลาย เช่น “อัศจรรย์” “น่าทึ้ง” “พิเศษ” เป็นต้น คำเหล่านี้มีพลังที่สามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่านได้ และเชื่อไหมว่าหากคำพวกนี้มีใน title tags จะสามารถสร้าง CTR ให้สูงขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่อย่างไรก็ตามการใช้คำกระตุ้นอารมณ์ต้องเลือกใช้เหมาะสมกับเนื้อหาด้วย

ตัวอย่างเช่น 

หากกำลังเขียนเรื่อง “SEO tips” แน่นอนอยู่แล้วว่าผู้คนต้องการอ่านเนื้อหาเคล็ดลับ SEO เป็นรายการ แต่คุณสามารถเพิ่มวลีเข้าไปเพื่อให้แท็กชื่อมีความน่าสนใจมากขึ้น เช่น “SEO tips,” not “SEO tip” โดยเพิ่มลูกเล่นด้วยคำที่มีเสียงคล้องจองกัน เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกเนื้อหาที่กำลังจะได้อ่านนี้ไม่น่าเบื่อ

SEO tips list style

ถ้าคุณกำลังเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับเทคนิคหรือเคล็ดลับอะไรบางอย่าง จะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ เพื่อจะได้เข้าใจจุดประสงค์ผู้อ่านมากขึ้น

  • เนื้อหาของคุณมีความแตกต่างกับผู้อื่นอย่างไร เช่น เคล็ดลับที่นำเสนอนั้นง่ายต่อการนำไปใช้ และเห็นผลลัพธ์ได้จริง
  • ผู้คนที่ค้นหาเนื้อหาเหล่านี้มีปัญหาทางด้านใดบ้าง และพวกเขาจะต้องได้รับคำแนะนำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเนื้อหาของคุณต้องมีความสดใหม่ และเป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้ได้จริง ไม่ใช้เคล็ดลับในอุดมคติเท่านั้น

ขอยกตัวอย่างแท็กชื่อที่เขียนได้ดีมาก ทำให้ผู้อ่านมองเห็นว่าเป็นสิ่งที่นำไปปฏิบัติตามได้ไม่ยาก เช่น 75 Actionable SEO Tips That Work in 2018

การเพิ่มวงเล็บ  

ในส่วนของวงเล็บจะช่วยในการแยกแท็กชื่อของคุณและปรับให้โครงสร้างอ่านง่ายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การเพิ่มวงเล็บให้กับแท็กเคล็ดลับ SEO ของเรา

75 Actionable SEO Tips (That Work in 2018)

ไม่เพียงเท่านั้นเชื่อไหมว่าวงเล็บสามารถเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) ได้เช่นเดียวกัน

ตัวอย่างเช่น

Job Descriptions: The Complete List (100+ Amazing Templates)

เมื่อเพิ่มวงเล็บเข้าไปปรากฏว่าการเข้ามาเพิ่มถึง 128%

ใช้ “curiosity gap” เพื่อดึงดูดการคลิกให้มากขึ้น

สำหรับ Curiosity gap คือ ช่องว่างระหว่างสิ่งที่เรารู้กับสิ่งที่เราต้องการ หรือสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ ขอยกตัวอย่างเช่นด้านล่างนี้

Upworthy Curiosity Gap

ซึ่งความสงสัยเหล่านี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดความใคร่รู้ และไม่เพียงเท่านั้น Curiosity gap ยังสามารถเพิ่มอัตราการคลิกเข้าบทความได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขอยกตัวอย่างแท็กชื่อที่ได้เพิ่มกระตุ้นความสงสัยลงไป

75 SEO Tips for 2018 (That Google REALLY Doesn’t Want You To Know About)

แต่มันอาจจะยาวเกินไปใช่ไหม คุณสามารถเขียนให้มันกระชับได้มากขึ้น เช่น

75 Actionable SEO Tips (That Work Like a Charm in 2018)

ซึ่งการเขียนรูปแบบนี้บอกเลยว่ากระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นได้เป็นอย่างดีเลย

ฟร้อนท์โหลดคีย์เวิร์ดของคุณ

คือ การเน้นส่วนหน้า ซึ่งหมายถึงการใส่รายละเอียดที่สำคัญลงไป เช่น คีย์เวิร์ดของคุณเอาไว้ในส่วนตอนต้นของแท็กชื่อ

ต่อไปนี้เป็นเหตุผลสามประการที่คุณจะต้องทำขั้นตอนนี้

  1. มันสามารถดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี และยังทำให้ผู้อ่านมั่นใจว่าเพจหรือโพสต์ของคุณเกี่ยวข้องกับการค้นหาของพวกเขา
  2. เชื่อไหมว่ามันอาจจะเป็นปัจจัยในการจัดอันดับ 
  3. การใส่คีย์เวิร์ดไว้ใในส่วนด้านหน้าแท็กชื่อ จะช่วยกำหนดกรอบของเนื้อเรื่องให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

และนี่เป็นตัวอย่างของแท็กชื่อแบบ front-loaded ที่ได้ใส่คีย์เวิร์ดเอาไว้ในส่วนด้านหน้า

SEO Tips: 75 Actionable SEO Techniques (That Word in 2018)

แต่เอาเข้าจริงเวอร์ชั่นเดิมที่ไม่ได้เอาคีย์เวิร์ดไว้ด้านหน้าอาจจะดูดีกว่า

Current SEO tips title tag

การสร้าง Title tags แบบอัตโนมัติ และวิธีการสร้างอย่างไรให้เพอร์เฟ็กต์สำหรับหน้าผลิตภัณฑ์และหมวดหมู่

เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหลายแห่งจะมีรายการผลิตภัณฑ์เป็นตำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องมีการจัดระเบียนสินค้าเหล่านั้นบนหน้าเว็บเพจให้เป็นอย่างดี เพื่อง่ายต่อการใช้งานของลูกค้า

ตัวอย่างเช่น

Amazon มีหน้าเว็บมากถึง 104 ล้านหน้าที่ได้รับการจัดทำดัชนีจาก Google 

Amazon Index Size

ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าจะมีการสร้างชื่อแท็กสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มากกว่า 100 ล้านรายการด้วยตนเอง หรือใช้คนทำให้จริง ๆ เพราะมันเยอะมากเกินไป ดังนั้นแท็กชื่อของหน้าเพจจำนวนมหาศาลนี้ถูกสร้างโดยระบบอัตโนมัติ ซึ่งส่วนใหญ่มากจาก CMS ของ Amazon เอง 

โดยเว็บไซต์ Amazon เป็นเว็บขนาดใหญ่ที่มี CMS แบบกำหนดเองเอาไว้ใช้ในการจัดการเรื่องการตั้ง title tags โดยเฉพาะ แต่หากคุณอยากให้เว็บไซต์ของตนเองมีการตั้งแท็กชื่อในรูปแบบอัตโนมัติต้องเลือกใช้ปลั๊กอินเท่านั้น โดยจะมีปลั๊กอินอะไรบ้างมาดูกันเลย

นี่คือปลั๊กอินบางส่วนที่มีฟังก์ชันนี้

  • WordPress: ใช้งานได้ง่ายมีคำแนะนำละเอียดมากอธิบายทีละขั้นตอน มาพร้อมกับรายการตัวแปรที่สามารถกำหนดเองได้ 
  • Joomla: ฟังก์ชันการทำงานจะคล้าย ๆ กับ Yoast ที่เป็นปลั๊กอินสำหรับ WordPress
  • Magento: .ใช้สำหรับในการจัดการ title tags สำหรับหมวดหมู่และหน้าผลิตภัณฑ์ของเว็บไซต์ได้ค่อนข้างดีมาก แต่ข้อจำกัดคือ ไม่สามารถใช้งานเวอร์ชันฟรีได้

และนี่เป็นไอเดียสำหรับการตั้งชื่อ title tags สำหรับหน้าผลิตภัณฑ์

  • ชื่อผลิตภัณฑ์ | แบรนด์ (เช่น “iPhone X | Apple”)
  • ชื่อผลิตภัณฑ์ | หมวดหมู่ | แบรนด์ (เช่น “MacBook Pro | แล็ปท็อปและโน้ตบุ๊ก | Apple”)
  • CTA + ชื่อผลิตภัณฑ์ | แบรนด์ (เช่น “ซื้อ iPhone X | Apple”)
  • CTA + ชื่อผลิตภัณฑ์ | ISBN/หมายเลขซีเรียล | แบรนด์ (เช่น “ซื้อ iPhone X | 978-X-XX-XXXXXX-X | Apple”)

ซึ่งถ้าเป็นหน้าหมวดหมู่ (Categories) ควรมีการจั้ง title tags ในรูปแบบดังนี้

  • หมวดหมู่ | แบรนด์ (เช่น “แล็ปท็อปและโน้ตบุ๊ก | Apple”)
  • CTA + หมวดหมู่ | แบรนด์ (เช่น “ซื้อแล็ปท็อปและโน้ตบุ๊ก | Apple”)

แต่หาทำธุรกิจท้องถิ่นควรมีการสร้าง title tags ในรูปแบบต่อไปนี้

  • ชื่อร้านอาหาร เมือง – เมือง | หมวดหมู่ | แบรนด์ (เช่น “Noma, Copenhagen – Christianshavn | Restaurant Reviews | TripAdvisor”)
  • อุตสาหกรรมในเมือง | CTA – แบรนด์ (เช่น “Plumbers in Sheffield – Get a Quote! | Yell”)

เคล็ดลับที่ควรทราบ

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับหน้าเว็บที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คุณควรเขียนแท็กชื่อแบบกำหนดเองจะดีกว่า ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

  • วางโดเมนของคุณลงใน Site Explorer
  • ไปที่การค้นหาทั่วไป และเข้าไปที่ Top Pages

ซึ่งคุณก็จะเห็นได้ว่าเว็บเพจหน้าใดมีการเข้าชมแบบออร์แกนิกมากที่สุด

Zappos Top Pages Organic

เพราะฉะนั้นหากรู้แล้วว่าหน้าไหนมีการเข้าชมสูงก็ควรตั้ง title tags แทนการสร้างแบบอัตโนมัติ และสามารถเพิ่ม CTR หรือการจัดอันดับการเข้าชมได้มากขึ้น

ทำไม Google จึงรีไรท์ title tags ของคุณใหม่

บางครั้งคุณอาจจะไม่พอใจที่กูเกิลถึงได้เขียน title tags ใหม่ของคุณ มันมีเหตุผลบางประการที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งจะมีเหตุผลอะไรบ้างมาดูกันเลย

Google มองว่า Title tags ของคุณนั้นไม่ดีพอ

หากแท็กชื่อที่คุณสร้างขึ้น ไม่สามารถสื่อความหมายได้ดี หรือไม่ตรงกับผลลัพธ์ที่ได้ ทาง Google จะจัดการเขียนชื่อใหม่ หรือตัดทอนแท็กของคุณได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่กูเกิลทำเป็นประจำอยู่แล้ว

Google มองเห็นว่ามีแท็กชื่อที่เหมาะสมกว่า

ไม่จำเป็นที่ต้องเขียน title tag ใหม่ทั้งหมด แต่ทาง Google อาจจะมีการเปลี่ยนโครงสร้างให้เหมาะสมมากขึ้น

Zappos

จะเห็นได้ว่าชื่อแบรนด์ของสินค้าไปอยู่ด้านหลังของแท็กชื่อ

<title>Online Shoes, Clothing, Free Shipping and Returns | Zappos.com</title>

ซึ่งกูเกิลได้รีไรท์ใหม่ให้ชื่อของเเบรนด์มาอยู่ในส่วนด้านหน้าแทน โดยจะมีผลต่ออัตราการคลิกเข้าชมที่เพิ่มมากขึ้นได้ เช่น Zappos.com: Online Shoes, Clothing, Free Shipping and Returns

Google กำลังมองหา Anchor Text จากลิงก์ขาเข้าของคุณเพื่อกำหนดหัวข้อเรื่อง

ลิงก์ขาเข้าส่วนใหญ่มี Anchor Text ซึ่ง Google จะพิจารณาลิงก์ดังกล่าวเพื่อช่วยให้เข้าใจว่าเพจหรือโพสต์ของคุณเกี่ยวกับอะไร ซึ่งอาจจะพิจารณาจากลิงก์ที่เชื่อมต่อมายังเว็บไซต์ของคุณ พูดง่าย ๆ ว่า Anchor text เป็นลิงก์ตัวอักษรที่สามารถกดไปยังหน้าถัดไปหรือหน้าที่ต้องการได้นั่นเอง

วิธีการป้องกันไม่ให้ Google รีไรท์ชื่อ Title tags ใหม่

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการสร้าง title tags ให้ดีมากที่สุดตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งต้องพิจารณาปัจจัยในการสร้าง ดังนี้

  • อธิบายเนื้อหาบนเพจ หรือโพสต์ให้ละเอียด ครบถ้วน และถูกต้อง
  • นำเสนอคุณสมบัติ หรือคุณลักษณะเด่นที่ผู้คนอยากเห็นออกมาให้มากที่สุด
  • ต้องมั่นใจว่าสามารถดึงดูดการคลิกได้

แน่นอนหากทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด ทาง Google จะไม่มีวันรีไรท์ title tags ของคุณอย่างแน่นอน

สรุป

SEO Title Tag เป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในการสื่อสารให้ Google และผู้คนเข้าใจว่าเว็บไซต์ หรือเว็บเพจของคุณนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอะไร นอกจากนั้นยังดึงดูดอัตราการเข้าชมได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อคุณกำลังจะสร้าง title tags จะต้องพิจารณาว่ามีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องเป็นคำที่มีความเกี่ยวข้องมากที่ การตั้งแท็กชื่อจะต้องมีความยาวไม่เกิน 50-60 อักขระ และตำเเหน่งโครงสร้างต้องเหมาะสมมากที่สุด ดังนั้นหากใครที่ยังไม่รู้วิธีการ หรือไม่มีไอเดียดี ๆ สำหรับการตั้งชื่อ title tags สามารถอ่านบทความนี้ได้เลย รับรองว่าจะต้องได้ title tags ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน

สวัสดีค่ะทุกคน ชื่อหมูนะคะ เราเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบงานเขียนมาก ๆ ค่ะ เพราะงานเขียนเปรียบเสมือนกับการสร้างโลกในจินตนาการของเราขึ้นมา โลกใบนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสนุกสนาน เเละความรู้มากมายที่เราสามารถผจญภัยไปได้เเบบไม่มีลิมิต มาท่องโลกของตัวหนังสือไปพร้อมกันนะคะ